โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83, 91, 217, 218, 334, 335, 336 ทวิ ให้จำเลยคืนของที่ลักไปหรือใช้ราคา 4,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 18 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 4 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 (1) ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 18 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยกับพวกอีก 3 คน ร่วมกันวางเพลิงเผาบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นของนายอรุณ ผู้เสียหาย คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 ประกอบมาตรา 83 โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 (1) ประกอบมาตรา 83 จำเลยมิได้อุทธรณ์ กลับแก้อุทธรณ์ของโจทก์และขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 (1) ประกอบมาตรา 83 ดังนี้ ข้อที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 9 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า บ้านที่เกิดเหตุเป็นโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยหรือไม่ เห็นว่า แม้จะได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายพยานโจทก์ว่า เมื่อก่อนจะเกิดเหตุผู้เสียหายและครอบครัวได้ย้ายจากบ้านที่เกิดเหตุไปอยู่อาศัยที่อำเภอเมืองนราธิวาส ไม่มีใครพักอาศัยอยู่ที่บ้านที่เกิดเหตุก็ตาม แต่ก็ได้ความว่าในช่วงแรกๆ ก่อนที่จะมีการวางเพลิงนั้นผู้เสียหายยังคงไปๆ มาๆ ที่บ้านที่เกิดเหตุอยู่ ปรากฏว่าในบ้านที่เกิดเหตุยังมีเตียงนอน อุปกรณ์เครื่องนอน โทรทัศน์สี 1 เครื่อง และกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าสำหรับใช้ประโยชน์สำหรับการมาพักอาศัยในบ้านที่เกิดเหตุเป็นครั้งคราวด้วย จึงรับฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยไว้ว่า บ้านที่เกิดเหตุเป็นโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่เห็นควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นความผิดสำเร็จหรือไม่ เห็นว่า การกระทำที่จะเป็นความผิดสำเร็จฐานวางเพลิงเผาทรัพย์นั้นไม่หมายความเพียงว่าเอาเพลิงไปวางเท่านั้น หากต้องเป็นการเผาทำให้เกิดเพลิงไหม้ทรัพย์นั้นติดไฟขึ้นด้วย ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสภาพในที่เกิดเหตุ ได้ความจากผู้เสียหายและร้อยตำรวจโทบุญเสริมว่า ทรัพย์สินที่ถูกเพลิงเผาไหม้เสียหายมีเพียงเตียงนอนและเบาะนอน ส่วนฝาบ้านชั้นล่างมีเพียงรอยเกรียม ดำ แต่ยังไม่ไหม้ไฟ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดสำเร็จคงเป็นความผิดฐานพยายามเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามวางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 (1) ประกอบมาตรา 80, 83 ปัญหานี้แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 (1) ประกอบมาตรา 80, 83 ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 8 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9