โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑  เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์รายวันชื่อแนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ มีโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้อำนวยการ  จำเลยที่ ๒ เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ  จำเลยที่ ๓ เป็นบรรณาธิการข่าวในประเทศ  โจทก์ที่ ๑ ได้จัดให้มีเงินสวัสดิการสำหรับเจ้าหน้าที่ในกองบรรณาธิการโดยแบ่งรายได้ค่าโฆษณามาตั้งเป็นกองทุนเงินสวัสดิการ  เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๑๗  มีเงินสวัสดิการอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ ๒ หนึ่งล้านเก้าแสนบาทเศษ  และที่โจทก์ยึดถือไว้อีกหนึ่งล้านสองแสนบาท  วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๗ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และผู้ร่วมงานอีกประมาณ ๗๘ คนได้ละทิ้งงานจากบริษัทโจทก์ไปดำเนินงานในบริษัทจำเลยที่ ๑  ผู้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ชื่อบางกอกเดลิไทม์  โดยจำเลยที่ ๒ เป็นบรรณาธิการ  ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา  จำเลยที่ ๓ เป็นบรรณาธิการและผู้จัดการ ระหว่างวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๗  ถึงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๗  เวลากลางวันและกลางคืน  จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันโฆษณาข้อความใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองคือ
ก. ฉบับลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๑๗  หน้า ๓ คอลัมน์เรือใบมุย  ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เขียนว่า "แสง  เบี้ยตระกูล  พัง  ถ้าจะโกงเรือใบก็โกงไปเหอะถ้าจะโกงเงินสวัสดิการ  นักข่าว ตากล้อง ออฟฟิสบอยและคนถูบ้านด้วยเงินเพียงล้านสอง แม้จะตายอยู่ในฮวงซุ้ยก็จะถูกถ่มถูกถุยน้ำลายจนกว่าโลกจะสิ้น  ฟ้าจะพัง ไม่ละอายใจมั่งหรือ"
ข. ฉบับลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๑๗ หน้า ๓ คอลัมน์เรือใบมุย  ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เขียนว่า "บริษัทสี่พระยา  จำกัด  โดยนายแสง  เหตระกูล  พิมพ์แถลงการณ์พิมพ์ในเดลินิวส์ฉบับวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๗  ยอมรับว่าหนี้สินเงินสวัสดิการค้างกับคนข่าว ช่างภาพและคนอื่น ๆ ล้านสองแสนกว่าบาท  และยังคุยต่อไปว่าพร้อมที่จะจ่ายให้ทันทีจะไม่มีการบิดพลิ้ว  แต่บัดนี้ปรากฏว่าบุคคลคนเดียวกันนี้ได้มีจดหมายแจ้งว่าเงินที่ค้างจ่ายนี้เป็นของบริษัท  จะจ่ายให้ก็ได้ ไม่จ่ายก็ได้ เรือใบขอให้สาธารณชนพิจารณาดูเอาเองว่านายทุนมหาเศรษฐีผู้นี้พูดเท็จต่อหน้าประชาชนทั่วประเทศอย่างหน้าด้าน ๆ หรือไม่  ถ้าโกงกันดื้อ ๆ ยังงี้รับรองได้ เรือใบแฉความระยำไม่เลี้ยงจะยอมเสียคนเมื่อแก่เพราะโกงเงินล้านสองก็ให้มันรู้ไป  ข้อคิดวันนี้  โกงเท่าไหร่ล้มละลายเท่านั้น"
ค. ฉบับลงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๗  หน้าแรกพาดหัวข่าวว่า "ฟ้องเจ้าของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์โกงสวัสดิการลูกจ้าง"
ง. ฉบับลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๗ หน้า ๓ คอลัมน์เรือใบมุย  ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เขียนว่า "ส่วนคดีแสง  เหตระกูล  โกงเงินสวัสดิการหยาดเหงื่อคนข่าวช่างภาพล้านสอง  คนก็สนใจใคร่รู้กันทั้งเมืองไม่น้อยไปกว่าเรือใบ  จะเปิดโปงเหลี่ยมโกงทั้งหมดบนศาลเร็วที่สุดเหมือนกัน  โกงเท่าไหร่ตายแล้วก็เอาใส่โลงไปด้วยไม่ได้หรอกน่ะ"
ข้อความดังกล่าวที่ว่า  โจทก์ทั้งสองโกงเงินสวัสดิการหรือเบี้ยวเงินสวัสดิการล้านสอง  เป็นข้อความที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง  เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว  เขตบางเขน  แขวงพระโขนง  เขตพระโขนง  กรุงเทพมหานคร และเหตุเกิดเกี่ยวพันกันทุกแขวงทุกเขตในกรุงเทพมหานคร ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทั่วราชอาณาจักรขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๓๒, ๘๓  กับยึดและทำลายข้อความที่ลงหมิ่นประมาทในหนังสือพิมพ์บางกอกเดลิไทม์ทั้งสี่ฉบับกับโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ  โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าโฆษณา
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การว่า ข้อเขียนของจำเลยเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์อันชอบธรรมของจำเลยโดยสุจริต ชอบธรรม ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย  ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำว่า "โกง" หรือ "ขี้โกง" มีความหมายว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นบุคคลไม่ซื่อ ทุจริต อาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง  ข้อความที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ของจำเลยทุกฉบับเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์และไม่เป็นการป้องกันตนโดยสุจริต  ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ (๑)  จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิด  ส่วนจำเลยที่ ๓ มิได้เป็นบรรณาธิการ  ผู้พิมพ์  ผู้โฆษณา  ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดเป็นตัวการตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์  และไม่มีพยานหลักฐานว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วย  พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒  มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๖, ๓๒๘, ๘๓ รวม ๔ กระทง  ให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา ๓๒๘  อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา ๙๐ ปรับจำเลยที่ ๑ กระทงละ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๔,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ กระทงละ ๑๐ วัน  และปรับกระทงละ ๕๐๐ บาท รวมจำคุก ๔๐ วัน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท  แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ๒ ปี  คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสียให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๓
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๑,๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อความที่จำเลยที่ ๒ เขียนลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของจำเลยตามฟ้องเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต  เพื่อความชอบธรรม  ป้อนกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน  ตามคลองธรรมและเป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล  จำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิด  ส่วนจำเลยที่ ๑ เป็นเพียงเจ้าของหนังสือพิมพ์ จำเลยที่ ๓ เป็นบรรณาธิการบริหารและผู้จัดการ  ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำ ตรวจแก้ คัดเลือก หรือควบคุมบทประพันธ์  ไม่เป็นบรรณาธิการตามความหมายของพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๘  จึงไม่มีความผิด  พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑,๒ ด้วย  นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา  ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑,๒ ส่วนข้อที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐  พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๘) พ.ศ.๒๕๑๗ มาตรา ๘ จึงไม่รับฎีกา  โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น  คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๓  จึงเป็นอันยุติ
ศาลฎีกาเห็นว่า  โจทก์ไม่ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินสวัสดิการแก่เจ้าหน้าที่ในกองบรรณาธิการ  ไม่ว่าจะเป็นคนข่าวหรือคนถูบ้าน  โจทก์เพียงแต่ไม่ยอมจ่ายเงินนั้นให้จำเลยที่ ๒ เพราะเกรงว่าจำเลยที่ ๒ จะเอาเงินสวัสดิการไปจ่ายให้เฉพาะผู้ที่ออกจากงานพร้อมจำเลยที่ ๒ อยู่ต่อมาก็ปรากฏว่าเงินสวัสดิการหนึ่งล้านเก้าแสนบาทเศษที่อยู่ที่จำเลยที่ ๒ นั้น จำเลยที่ ๒ จ่ายให้ผู้ที่ออกจากงานพร้อมกับจำเลยที่ ๒ จนหมดสิ้น  จึงไม่ใช่เรื่องโจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมจ่ายเงิน  การที่จำเลยที่ ๒ เขียนข้อความลงในหน้าหนังสือพิมพ์กล่าวหาว่าโจทก์โกงแม้กระทั่งเงินสวัสดิการของออฟฟิสบอยและคนถูบ้านก็ดี โจทก์มีเหลี่ยมโกงและทำความระยำก็ดี  ตลอดจนเปลี่ยนนามสกุลโจทก์ที่ ๒ เป็นเบี้ยวตระกูล  ซึ่งคำว่าเบี้ยวนี้  จำเลยที่ ๒ ก็ยอมรับว่าหมายถึงฉ้อโกง  ดังนี้ก็ดี  หาเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสียของตนหรือเป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมไม่  แต่เป็นเรื่องจำเลยที่ ๒ มุ่งใส่ความโจทก์ทั้งสองให้ได้รับความเสียหาย  เพราะไม่พอใจที่โจทก์ขัดขืนไม่ยอมจ่ายเงินให้  ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจากบทกฎหมายที่กล่าวไว้ข้างต้น จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้เขียนและในฐานะบรรณาธิการจึงมีความผิด  แต่สำหรับจำเลยที่ ๑  นั้นคงได้ความเพียงแต่เพียงว่าจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นประธานกรรมการของบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้หมิ่นประมาทโจทก์เพราะมีสาเหตุกันเป็นส่วนตัว  ข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่ากระทำไปในฐานประธานกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๑ บริษัทจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย  ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า นายสนิท  เอกชัย  จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ ประกอบด้วยมาตรา ๓๒๖ รวม ๔ กระทง  ให้จำคุกกระทงละ ๑๐ วัน  ปรับกระทงละ ๕๐๐ บาท  รวมเป็นโทษจำคุก ๔๐ วัน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท  แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ๒ ปี คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย  นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์