โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พันตำรวจโทเผ่าและสิบตำรวจเอกวัชระเป็นประจักษ์พยานซึ่งได้ยินได้ฟังเรื่องราวมาจากนายโชคโดยตรง กับไม่มีเหตุผลใดที่พยานทั้งสองต้องปรักปรำกลั่นแกล้งจำเลย เชื่อว่านายโชคได้ให้ถ้อยคำเช่นนั้นต่อพยานทั้งสองจริง หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นนายโชคยังคงให้การปากคำต่อร้อยตำรวจเอกกิตติคุณ พนักงานสอบสวนในทำนองเดียวกันว่า พยานไปรับเมทแอมเฟตามีน 10 เม็ด จากจำเลยที่ลานจอดรถยนต์สวนสาธารณะ 200 ปี โดยจำเลยพูดกับพยานว่า "พี่ฝากของไว้กับน้อง ถ้ามีคนมาขอซื้อ บอกให้มาซื้อกับพี่ แล้วพี่จะให้เขามารับของที่น้อง ถ้าน้องจะเสพเอาไปเสพได้ 1 เม็ด" แล้วในวันต่อมาพยานเสพไป 1 เม็ด ก่อนถูกจับกุม ตามบันทึกคำให้การ แม้คำให้การของนายโชคมีลักษณะเป็นพยานบอกเล่าและพยานซัดทอด แต่เมื่อเป็นการให้ถ้อยคำหลังถูกจับกุมในทันทีและมิได้มุ่งซัดทอดเพื่อหวังให้ตนเองได้รับประโยชน์หรือพ้นผิด หากเป็นเพียงการบอกเล่าถึงที่มาของเมทแอมเฟตามีนที่ตนเองมีไว้ในครอบครองอย่างผิดกฎหมายเท่านั้น เช่นนี้ ตามสภาพ ลักษณะและแหล่งที่มาแห่งคำบอกเล่าตามคำให้การของนายโชค จึงมีเหตุผลที่น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงและรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) และ 227/1 วรรคหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น ในชั้นพิจารณานายโชคยังเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า พยานได้รับเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย เรื่องราวที่อ้างว่าพยานไปรับเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่สวนสาธารณะ 200 ปี และที่จำเลยพูดว่า หากมีคนมาซื้อก็ให้แจ้งจำเลยก็สอดคล้องกับที่นายโชคให้การไว้ในชั้นสอบสวน แม้นายโชคจะเบิกความว่า พยานได้รับเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2550 และเมทแอมเฟตามีนมีเพียง 9 เม็ด ผิดแผกแตกต่างไปจากที่พยานเคยให้การไว้ในชั้นจับกุมและสอบสวน กับเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่ได้ไปรับเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด มาจากจำเลย อันเป็นการกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอย มีเหตุผลเชื่อว่าเพื่อช่วยเหลือจำเลยมากกว่าที่จะเป็นการเบิกความไปตามที่เป็นจริง ที่นายโชคอ้างว่า พยานถูกบังคับขู่เข็ญให้ถ้อยคำในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ล้วนไม่มีเหตุผลใดสนับสนุนให้เจ้าพนักงานตำรวจทั้งผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนจะต้องกระทำโดยมิชอบเช่นนั้น จึงเป็นเหตุผลที่จะรับฟังหักล้างสาระสำคัญที่นายโชคเบิกความตอบโจทก์ในตอนต้นที่ว่า พยานรับเมทแอมเฟตามีน 10 เม็ด มาจากจำเลยได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยมอบเมทแอมเฟตามีน 10 เม็ด ให้แก่นายโชค พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบต่อสู้ว่า จำเลยเพียงเล่นสนุกเกอร์กับนายโชคโดยมิได้มอบเมทแอมเฟตามีนให้นายโชคนั้น ไม่สามารถรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ อย่างไรก็ตาม การที่จำเลยฝากเมทแอมเฟตามีนไว้ที่นายโชคโดยบอกว่าหากมีคนมาขอซื้อก็ให้แจ้งจำเลย แล้วจำเลยจะให้คนมารับ ไม่ใช่เป็นการ "ให้" ตามบทนิยามคำว่า "จำหน่าย" ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 จึงไม่เป็นการจำหน่าย แต่จำเลยคงเป็นตัวการผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้เพื่อจำหน่ายจำเลยจึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยจะต้องมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก่อนที่จะนำไปจำหน่าย ดังนั้น ศาลฎีกาจึงลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 ปี คำขออื่นให้ยก