ได้ความว่าโจทก์ได้เอาที่ดินจำนองไว้แก่จำเลย  ต้นเงินแลดอกเบี้ยค้าง  โจทก์จึงโอนที่ดินให้เปนสิทธิแก่จำเลย  ต่อมาอีก ๒ วันจำเลยได้ทำสัญญาให้แก่โจทก์ ๑ ฉบับมีความว่า " ข้าพเจ้านายผัน จงภู่ สัญญาให้นางเป้านายฟ้อนรายหักโอนนาที่จำนำไว้เมื่อปีชวด ๒๔๖๗  ปีฉลูสัญญาจะให้นางเป้านายฟ้อนไถ่ได้ในจำนวนปีขาล  ๒๔๖๙ นี้ ๑ ปี "  ครั้นโจทก์หาเงินได้จะซื้อที่ดินคืนภายในกำหนด  จำเลยไม่สามารถโอนให้โจทก์ได้  เพราะขายให้ผู้อื่นไปเสียก่อนแล้ว  ดังนี้
ศาลเดิมเห็นว่า สัญญานั้นเปนสัญญาจะขายใช้ได้ตามกฎหมาย  แต่จำเลยได้ขายที่ให้ผู้อื่นไปเสียแล้ว  จึงตัดสินให้+จำเลยหักเงินของจำเลยที่รับจำนองไว้ ๔๓๕๐ บาทก่อน
ศาลอุทธรณ์ตัดสินแก้ฉะเพาะค่าเสียหาย  คือให้จำเลยใช้เงินเพียง  ๑๑๕๐ บาท  นอกนั้นยืนตามศาลเดิม
จำเลยฎีกาว่า สัญญาที่จำเลยทำให้โจทก์นั้น เปนสัญญาขายฝากที่ดิน  เมื่อทำไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  ก็ไม่มีผลบังคับได้
ศาลฎีกาเห็นว่า  ข้อความในสัญญานั้นแสดงเจตนาอันแท้จริงของโจทก์จำเลยว่า   เมื่อโจทก์หาเงินมาให้จำเลยได้ภายใน ๑ ปีแล้ว  จำเลยจะยอมคืนที่ดินให้โจทก์ดังนี้  เปนสัญญาให้คำมั่นจะซื้อขายตามประมวลแพ่งแลพาณิชย์ ม.๔๕๔  แลมีความเห็นต่อไปว่า  แม้ในสัญญาจะไม่ได้ใช้คำว่าให้คำมั่นจะซื้อขายกันก็ดี  แต่ตาม ม.๑๓๒ บังคับไว้ว่า ในการตีความแสดงเจตนานั้น  ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร  แล ม.๑๐ ท่านให้แปลความไปในทางที่มีผลบังคับได้ดีกว่าจะแปลไปในทางที่ไร้ผล  แลการให้คำมั่นจะซื้อขายที่ดิน  ทำหนังสือกันเองก็ใช้ได้ตาม ม.๔๕๖ เพราะฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ๑๑๕๐ บาทอันเปนจำนวนเงินที่จำเลยได้รับเกินจากกราคาที่ตกลงจะซื้อขายกันนั้นชอบแล้วให้ยกฎีกาจำเลยเสีย