โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยได้ลักเอาเงินสดจำนวน 500 บาท ของนายไพฑูรย์ นาคคำ ผู้เสียหายไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) วรรคสอง (ที่ถูกมาตรา 335(1) วรรคแรก)จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "คงมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามข้อฎีกาของจำเลยประการแรกว่าขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุเพียง 15 ปีเศษ ซึ่งศาลฎีกาต้องมีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะระบุว่า จำเลยมีอายุ 19 ปีและจำเลยได้ให้การรับสารภาพตามคำฟ้องนั้นก็ตาม แต่ก็ปรากฏจากภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านและภาพถ่ายสูติบัตรซึ่งมีนางสุภาวดี กาญจนรังสิชัย ผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอเมืองขอนแก่นลงลายมือชื่อรับรองถูกต้องกับหนังสือรับรองของโรงเรียนเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งจำเลยแนบมาท้ายฎีกา มีข้อความเกี่ยวกับวันเดือนปีเกิดของจำเลยตรงกันทั้งสามฉบับคือ จำเลยเกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2520 และเมื่อปรากฏว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 ดังนั้น จำเลยจึงมีอายุเพียง 15 ปีเศษ ในขณะกระทำความผิดอันอยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับปัญหานี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาประการนี้ของจำเลยฟังขึ้น ส่วนปัญหาที่ว่า จะต้องโอนคดีนี้ไปยังศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 15 วรรคแรก บัญญัติว่า"ในกรณีที่ปรากฏในภายหลังว่าข้อเท็จจริงในเรื่องอายุหรือการบรรลุนิติภาวะด้วยการสมรสของบุคคลที่เกี่ยวข้องจะผิดไปหรือศาลอื่นใดได้รับพิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่ต้องด้วยมาตรา 13ซึ่งถ้าปรากฏเสียแต่ต้นจะเป็นเหตุในศาลนั้น ๆ ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาก็ตาม ข้อบกพร่องดังกล่าวไม่ทำให้การพิจารณาพิพากษาของศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาและศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวเสียไป" และมาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า"ถ้าข้อเท็จจริงตามวรรคหนึ่งปรากฏขึ้นในระหว่างการพิจารณาไม่ว่าในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาให้ศาลนั้น ๆ โอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป" เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องอายุของจำเลยมิได้ปรากฏขึ้นในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แต่ปรากฏในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา และคดีนี้ได้ทำการพิจารณาโดยศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวอันถือได้ว่าเป็นการโอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไปตามบทมาตราของพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว จึงไม่ต้องโอนคดีไปยังศาลเยาวชนและครอบครัวกลางตามข้อฎีกาของจำเลย ฎีกาประการนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 คงจำคุกจำเลย 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์