โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 265, 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 จำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์และจำเลยไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังยุติได้ว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 43656 เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา มีชื่อนางสาวอรวรรณ นางสาวดรุณี และนางกิม ร่วมกันถือกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายแก้ว วันที่ 24 ตุลาคม 2550 นางสาวปาริชาติ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนางสาวอรวรรณ นางสาวดรุณี และนางกิม ได้จดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ตนเอง วันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 นางสาวปาริชาติจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนี้ให้จำเลย และวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 จำเลยจดทะเบียนขายที่ดินต่อให้โจทก์ในราคา 700,000 บาท ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 240/2558 มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 43656 ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ที่ดินกลับมาเป็นของนางสาวอรวรรณ นางสาวดรุณี และนางกิม ซึ่งเป็นโจทก์ทั้งสามในคดีนั้นดังเดิม โดยให้นางสาวปาริชาติ จำเลย และโจทก์ ซึ่งเป็นจำเลยทั้งสามในคดีดังกล่าว ร่วมกันคืนโฉนดที่ดินแปลงนี้ให้แก่โจทก์ทั้งสามด้วย เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนางสาวอรวรรณในหนังสือมอบอำนาจ แล้วยืนยันว่าเป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยทั้งสามในคดีดังกล่าวจึงต้องแพ้คดีตามคำท้า สำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 คดีเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า จำเลยกระทำความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า ขณะที่จำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินในวันเกิดเหตุ โจทก์ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ กับที่ดินโฉนดเลขที่ 43656 ความเสียหายโดยตรงที่เกิดขึ้นเมื่อมีการใช้เอกสารปลอมจึงมีเฉพาะเจ้าของที่ดินซึ่งอาจต้องสูญเสียที่ดินไป นางสาวอรวรรณผู้เป็นเจ้าของลายมือชื่อ และนางสาวปาริชาติซึ่งควรจะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอย่างถูกต้องเท่านั้น หามีความเสียหายใดเกิดขึ้นแก่โจทก์ในขณะเวลาที่มีการใช้เอกสารปลอมไม่ โจทก์เพิ่งมาซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 43656 จากจำเลยและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 ภายหลังจากที่นางสาวปาริชาติขายที่ดินแปลงนี้ให้จำเลยแล้ว แม้จะได้ความว่าต่อมานางสาวอรวรรณกับพวกเป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินที่เกิดขึ้นทั้งหมดและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ที่ดินกลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวอรวรรณกับพวก เป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินก็ตาม แต่กรณีเป็นเพียงเรื่องการรอนสิทธิซึ่งทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายในทางแพ่งเท่านั้น หาได้รับความเสียหายโดยตรงจากการใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมของจำเลยไม่ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ที่จะฟ้องจำเลยในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมต่อศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 (2) ได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยว่าจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง