คดีนี้เป็นคดีชั้นขัดทรัพย์ โจทก์นำยึดอิฐสุก 3 เตาประมาณสองแสนแผ่น อ้างว่าเป็นของจำเลย ผู้ร้องคัดค้านว่าจำเลยได้ขายให้ผู้ร้องและได้รับเงินเสร็จไปแล้ว
ศาลชั้นต้นยกคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ปรากฏข้อความในสัญญาชัดเจนว่า จำเลยมีอิฐสุกอยู่ที่ลานของนางลำดวน 2 เตา อิฐประมาณสองแสนสองหมื่นแผ่นจำเลยได้ขายเหมาอิฐทั้งสองเตานี้ให้แก่ผู้ร้องเป็นเงิน 7,000 บาท และได้รับเงินไปถูกต้องแล้ว การขายอิฐรายนี้จึงเป็นการขายเป็นเตาซึ่งมีจำนวนแน่นอนคือว่า 2 เตา เช่นเดียวกับที่บุคคลอาจขายอิฐหรือดินเป็นกอง ๆ ได้ ไม่ใช่เป็นการขายอิฐเป็นแผ่น ๆ หรือดินเป็นก้อน ๆ ส่วนที่กล่าวถึงจำนวนอิฐลงไว้ในสัญญาว่ามีประมาณสองแสนสองหมื่นแผ่นก็เป็นแต่กล่าวไว้โดยประมาณให้เข้าใจว่าอิฐที่ขายมีประมาณสักเท่าใด และที่จำเลยรับรองไว้ในสัญญาข้อ 4 ว่า อิฐที่ซื้อไปนี้ ถ้าขายได้เงินไม่พอกับจำนวนเงินที่จำเลยรับไป คือ 7,000 บาท จำเลยยอมรับทำอิฐใช้ให้จนครบจำนวนเงินที่ขาดไป ก็เป็นเพียงการรับประกันไม่ให้ผู้ซื้อขาดทุนเท่านั้น ไม่มีผลเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในอิฐนั้นอย่างไร ถ้าสัญญานี้ได้ทำกันจริงโดยสุจริตกรรมสิทธิ์ในอิฐนั้นก็ได้ผ่านจากผู้ซื้อไปยังผู้ขายตั้งแต่ขณะทำสัญญากันแล้ว กรณีจะปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 460 ไม่ได้ เพราะปริมาณแห่งทรัพย์สินที่ขายได้กำหนดไว้แน่นอนและราคาก็แน่นอนแล้วฯลฯ จึงพิพากษายืน