โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนายพุททา อุดชาชนที่หน้าอกซ้าย โดยเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล แพทย์รักษาไว้ได้ทันท่วงที นายพุททาเพียงแต่เป็นอันตรายถึงสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 297 และสั่งริบมีดที่ใช้กระทำผิดของกลาง
จำเลยให้การว่า กระทำไปเพื่อป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า แต่ผู้เสียหายไม่ถึงตายและไม่ใช่เป็นการป้องกัน พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยแทงผู้เสียหายฝ่ายเดียว มีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น และไม่ถึงสาหัส พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า คืนเกิดเหตุ จำเลยเมาสุรา ร้องท้าทายนายจันทร์และนายสุบิน ซึ่งนั่งอยู่ที่บ้านนายคำผัน นายพุททาผู้เสียหายร้องห้ามเพราะจำเลยเป็นหลายเขย แล้วเข้าไปนั่งเก้าอี้บนบ้าน จำเลยผลักผู้เสียหายล้มลงกับพื้น นายจันทร์กับนายสุบินดึงจำเลยพากลับบ้านจำเลย แล้วจำเลยกลับมาถามหาผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายร้องตอบ จำเลยก็ใช้มีดแทงผู้เสียหายแล้วหนีไปพร้อมกับมีดของกลาง
ปัญหาว่า การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดสถานใด ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาการเมาสุรา แม้จำเลยจะแทงผู้เสียหายที่หน้าอกอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญ แต่ก็แทงเพียงทีเดียวทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะแทงได้อีกแผลที่ผู้เสียหายได้รับตามที่ปรากฏในรายงานชันสูตรบาดแผลมีขนาด 1.5 x เศษหนึ่งส่วนสอง x 1.5 เซนติเมตร เท่านั้น แสดงว่าจำเลยไม่ได้แทงโดยแรง นายแพทย์จงรักษ์ วิเศษศิลปานนท์ ผู้ชันสูตรบาดแผลก็เบิกความว่า แผลไม่ร้ายแรงที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้ รักษาประมาณ 12 วันก็หายถ้าไม่มีโรคแทรก ข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ชอบแล้ว
พิพากษายืน