โจทก์ ฟ้องว่า จำเลยบังอาจบุกรุกเข้าไปปักเสาซีเมนต์ และขึงลวดหนามที่ดินของโจทก์เพื่อ แย่งกรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยรื้อถอนเสาซีเมนต์และลวดหนาม
จำเลยให้การต่อสู้ปฏิเสธ ว่าไม่ได้บุกรุก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ความว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จึงยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิจารณาฟังได้ว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และคำให้การของจำเลยก็ต่อสู้ไว้ว่าได้บุกรุก จำเลยปักและขึงลวดในที่ดิน ของยายและมารดาจำเลย ซึ่งยายและมารดาจำเลยได้ล้อมรั้วกั้นเขตที่ดินและครอบครองทำกินโดยเจตนา เป็นเจ้าของมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว โจทก์ไม่เคยโต้แย้งเถียงสิทธิในเรื่องที่ดินนี้มาก่อนเลย หากโจทก์จะถือว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องอยู่ในรั้วเขตที่ดินของยายและมารดาจำเลยแล้ว โจทก์ก็ควรฟ้องยายและมารดาจำเลย หาใช่ฟ้องจำเลยไม่ ดังฟังได้ว่า หากที่ดินที่โจทก์ตั้งพิพาท เป็นที่ดินดังกล่าว จำเลยก็โต้แย้งว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ของโจทก์ หากแต่เป็นของยายและมารดาจำเลย โจทก์จึงต้องนำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ครั้นศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์แก้ในข้อนี้โดยพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์กลับอุทธรณ์และฎีกาว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลทั้งสองว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์จึงจะชนะคดี ฎีกา โจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน