โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่12 กุมภาพันธ์ 2528 ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกตั๋วโดยสัญญาว่าจะใช้เงิน 57,000 บาท ให้แก่โจทก์ภายใน 42 วัน มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับอาวัล มาขายลดแก่โจทก์ ตกลงกันว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ใช้เงินภายในกำหนดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปีโดยจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับอาวัลและผู้ค้ำประกันได้ตกลงยินยอมตามเงื่อนไขในการขายลดดังกล่าว ครั้นเมื่อถึงกำหนดชำระเงินจำเลยที่ 1 มิได้ใช้เงินคืนแก่โจทก์ตามสัญญาเพียงแต่ผ่อนชำระหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2529 รวมเป็นเงินที่ผ่อนชำระทั้งสิ้น 27,201.58 บาท ยังค้างชำระต้นเงินอีก37,367.78 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่28 มกราคม 2529 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับอาวัลจำเลยที่ 1 ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่ไม่เคยตกลงเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว และโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 25 มีนาคม 2528 ซึ่งเป็นวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนด ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์ 29,798.42 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันที่ 25 มีนาคม 2528 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2528 จำเลยที่ 1 ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2528 ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกตั๋วโดยสัญญาว่าจะใช้เงิน 57,000 บาท ให้แก่โจทก์ภายใน 42 วัน มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับอาวัล มาขายลดแก่โจทก์ ซึ่งถึงกำหนดใช้เงินในวันที่ 25 มีนาคม 2528 ตามหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.3 โดยมีจำเลยที่ 2 ร่วมลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองฉบับนี้ด้วย ต่อมาเมื่อถึงกำหนดใช้เงิน จำเลยที่ 1 ผิดนัด แต่ได้ผ่อนชำระเงินต่อมาหลายครั้ง ชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 มกราคม2529 โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2532
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 2 มีเพียงว่า ฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความหรือไม่ ปัญหานี้ ตามหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงิน เอกสารหมาย จ.3 มีข้อความระบุถึงจำเลยที่ 2 เพียงว่า จำเลยที่ 2 ผู้รับอาวัล ได้ทราบข้อตกลงในการที่จำเลยที่ 1 ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 57,000 บาท ที่จำเลยที่ 1เป็นผู้ออกตั๋วมาขายให้แก่โจทก์แล้วทุกประการ และหากโจทก์ยอมผ่อนเวลาการชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมตกลงในการผ่อนเวลานั้นด้วยและจะไม่ยกเอาการผ่อนเวลานั้นเป็นข้อต่อสู้แต่อย่างใด และมีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ลงไว้ที่ท้ายสัญญาด้วย โดยมีคำว่า "ผู้รับอาวัล" ต่อท้ายลายมือชื่อ เห็นว่าตามหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไม่ปรากฏความข้อใดเลยว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญาขายลดแล้วจำเลยที่ 2 จะยอมใช้เงินแก่โจทก์ หรือแม้แต่คำว่า "ค้ำประกัน"ก็ไม่ปรากฏ ฐานะของจำเลยที่ 2 คงระบุเพียงว่าเป็นผู้รับอาวัลเท่านั้น แม้จะระบุถึงเรื่องการผ่อนเวลาไว้ก็คงเป็นการกล่าวถึงความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับอาวัล ซึ่งต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลที่ตนประกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 940 โดยไม่อาจอ้างเรื่องการผ่อนเวลาตามหลักค้ำประกันทั่วไปในมาตรา 700 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้อยู่แล้ว ดังนี้ เมื่อเป็นกรณีที่มีข้อสงสัย จึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้น จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ในการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินต่อโจทก์นอกเหนือไปจากการเป็นผู้รับอาวัลจำเลยที่ 1 ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินอันจะทำให้คดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 มีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 เดิมหากแต่เป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะผู้รับอาวัลเท่านั้น ซึ่งมีอายุความ 3 ปี นับแต่วันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินตามมาตรา 1001 ประกอบมาตรา 940อนึ่ง แม้ปรากฏว่าหลังจากที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินแล้วจำเลยที่ 1 ผู้ออกตั๋วจะได้ผ่อนชำระเงินให้โจทก์ไปบางส่วน เป็นเหตุให้อายุความในส่วนของจำเลยที่ 1 สะดุดหยุดลงก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ผู้รับอาวัลได้ร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 ด้วย จึงเป็นเรื่องแต่เฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้น อายุความในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่สะดุดหยุดลงด้วยตามมาตรา 295 ประกอบมาตรา 967, 985 เมื่อคดีนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2528โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2532 เป็นเวลาเกินกว่า3 ปี คดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ขาดอายุความแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2ฟังขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1