โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 352 และ 353
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสิบให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 (เดิม), 83, 90 จำเลยที่ 8 ถึงที่ 10 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 86 ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 6,000 บาท ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน และปรับ 6,000 บาท ปรับจำเลยที่ 8 เป็นเงิน 4,000 บาท และให้จำคุกจำเลยที่ 9 และที่ 10 มีกำหนดคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 4,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 9 และที่ 10 ไว้คนละ 2 ปี หากจำเลยที่ 1 และที่ 8 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 จำเลยที่ 2 ที่ 9 และที่ 10 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ทั้งสองมอบอำนาจให้นางสาวทิพภานิดา ดำเนินคดีแทนโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 47/98 ในอาคารชุดคาซ่า วีวา ซึ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2536 จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลอาคารชุดดังกล่าว ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 จำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นกรรมการ ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ถึงวันฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 6 เป็นผู้จัดการ และมีจำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 7 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 8 เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 9 และที่ 10 เป็นกรรมการ ภายในอาคารชุดคาซ่า วีวา มีที่จอดรถทั้งแบบส่วนบุคคลและที่เป็นทรัพย์ส่วนกลาง ที่จอดรถหมายเลข 150 อยู่ชั้น 4 ของอาคารชุดเป็นทรัพย์ส่วนกลาง และจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ดูแล วันที่ 23 มกราคม 2555 จำเลยที่ 8 โดยจำเลยที่ 9 และที่ 10 ทำสัญญาให้บริษัทแฟกซ์ ไลท์ จำกัด เช่าที่จอดรถหมายเลข 150 เพื่อติดตั้งเสาสัญญาณโทรคมนาคมมีกำหนด 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558 ค่าเช่าเดือนละ 11,000 บาท และค่าบริการเดือนละ 5,500 บาท โดยจำเลยที่ 8 ทำหนังสือรับรองต่อท้ายสัญญาเช่าว่าจำเลยที่ 8 มีสิทธินำที่จอดรถดังกล่าวให้บริษัทแฟกซ์ ไลท์ จำกัด เช่าได้ เนื่องจากมีข้อตกลงแลกเปลี่ยนที่จอดรถดังกล่าวกันแล้ว
คดีมีปัญหาวินิจฉัยข้อแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 ได้กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดอันยอมความกันได้ ผู้เสียหายจึงต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องและนำสืบว่าพื้นที่จอดรถชั้น 4 หมายเลข 150 ของอาคารชุดคาซ่า วีวา เป็นทรัพย์ส่วนกลาง เจ้าของห้องชุดในอาคารชุดจึงเป็นเจ้าของและมีสิทธิใช้สอยที่จอดรถดังกล่าวร่วมกัน ดังนี้ เมื่อโจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 ร่วมกันนำที่จอดรถหมายเลข 150 ให้ผู้อื่นเช่าเพื่อหาประโยชน์เป็นของตนโดยทุจริตเป็นการยักยอกทรัพย์ เจ้าของห้องชุดทุกคนในอาคารชุดดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหายร่วมกันมีอำนาจร้องทุกข์หรือฟ้องคดีได้เช่นเดียวกับโจทก์ทั้งสอง และข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความของนางสาวทิพภานิดาว่า จำเลยที่ 8 โดยจำเลยที่ 9 และที่ 10 นำพื้นที่จอดรถหมายเลข 150 ให้บริษัทแฟกซ์ ไลท์ จำกัด เช่าเพื่อติดตั้งเสาสัญญาณโทรคมนาคม มีกำหนด 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558 และบริษัทแฟกซ์ ไลท์ จำกัด ได้จ่ายค่าเช่าให้แก่จำเลยที่ 8 ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2558 รวมเป็นเงิน 568,260 บาท ตามคำเบิกความดังกล่าวแสดงว่าบริษัทแฟกซ์ ไลท์ จำกัด ผู้เช่าได้เข้าไปครอบครองและดำเนินการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณโทรคมนาคมก่อนหรืออย่างช้าตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นสัญญาเช่าและจ่ายค่าเช่าแล้ว จึงน่าเชื่อว่าเจ้าของและผู้ครอบครองห้องชุดในอาคารชุดคาซ่า วีวา ทุกคนรวมทั้งโจทก์ทั้งสองและนางสาวทิพภานิดา ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 5 ถามค้านในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า พยานเคยเป็นเจ้าของห้องชุดในอาคารชุดคาซ่า วีวา และทราบการทำงานของนิติบุคคลอาคารชุดดังกล่าวกับข้อมูลอื่น ๆ ดี จะต้องพบเห็นมีการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณโทรคมนาคมในพื้นที่จอดรถหมายเลข 150 และทราบว่ามีการนำพื้นที่จอดรถดังกล่าวให้ผู้อื่นเช่าเพื่อหาประโยชน์โดยไม่ถูกต้อง มิฉะนั้นพยานคงไม่มอบหมายให้นายวิมล ทนายความและเป็นเจ้าของร่วมห้องชุดในอาคารชุดดังกล่าวด้วยไปดำเนินการตรวจสอบเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ทรัพย์ส่วนกลางตามที่พยานเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ถึงที่ 10 ถามค้าน แม้พยานจะอ้างว่า การที่ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายวิมลทำหนังสือขอให้ตรวจสอบการใช้ทรัพย์ส่วนกลางมิใช่เป็นการตรวจสอบเรื่องที่จอดรถ แต่ตามหนังสือที่มีไปถึงกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดคาซ่า วีวา มีข้อความระบุว่า นายวิมลผู้ถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 47/98 ได้ตรวจสอบการใช้ทรัพย์ส่วนกลางพบว่ามีการนำทรัพย์ส่วนกลางไปให้บุคคลอื่นใช้ และมีการก่อสร้างอันเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมหรือปรับปรุงทรัพย์ส่วนกลางนอกจากที่กำหนดไว้ซึ่งหนังสือฉบับดังกล่าวลงวันที่ 2 มีนาคม 2555 เป็นเวลาภายหลังเริ่มต้นการเช่าที่จอดรถหมายเลข 150 ตามสัญญาเช่าเพียงครึ่งเดือนเศษเท่านั้น จึงเชื่อว่าการทำหนังสือขอให้ตรวจสอบการใช้ทรัพย์ส่วนกลางเป็นการขอให้ตรวจสอบการนำพื้นที่จอดรถให้บุคคลอื่นเช่านั่นเอง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่านางสาวทิพภานิดาและนายวิมลรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดคดีนี้อย่างช้าตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2555 แล้ว เมื่อนางสาวทิพภานิดาและนายวิมลซึ่งต่างก็เป็นผู้เสียหายจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 ตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องกล่าวหาว่าร่วมกันยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 มิได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ 2 มีนาคม 2555 ซึ่งถือว่าเป็นวันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด การที่โจทก์ทั้งสองมาฟ้องคดีนี้วันที่ 25 พฤษภาคม 2558 คดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 จึงต้องยกฟ้องโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 ฟังขึ้นกรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 และฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยดังกล่าวในสถานหนักอีกต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 ถึงที่ 10 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์