โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นชนิดและขนาดใดไม่ปรากฏชัด 1 กระบอก ซึ่งไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ กับมีกระสุนปืนชนิด ขนาด และจำนวนเท่าใดไม่ปรากฏชัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะบริเวณหมู่ที่ 5 ตำบลพลับพลาไชย อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวทั้งมิใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งไม่มีเหตุได้รับยกเว้นโทษตามกฎหมายแล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวยิงนายจีน นาคพร หลายนัดโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกที่บริเวณใต้สะบักและลำตัวทะลุปอดและหัวใจ เป็นเหตุให้นายจีนถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 288, 91, 83, 32 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสอง และวรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง จำเลยกระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ความผิดฐานพาอาวุธปืนให้ลงโทษ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 1 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกตลอดชีวิตริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุที่โจทก์ฟ้องนายจีน นาคพร ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่ความตายปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายนิด ทับทัด และนางจาง นาคพร เป็นพยาน เบิกความว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2537เวลาประมาณ 16 นาฬิกา นางจางให้นายนิดขับรถจักรยานยนต์พานางจางไปขายเปลือกไม้ที่เขากระท๊อก นายนิดจึงขับรถจักรยานยนต์มีนางจางนั่งซ้อนท้ายไปตามถนนสายเขาท๊อก-รางพยอม ครั้นนายนิดขับถึงหลักกิโลเมตรที่ 16 พบผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แล่นสวนทางมาและมีรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่งแล่นตามหลังรถจักรยานยนต์ของผู้ตายไปในระยะห่างประมาณ 3 วา เฉพาะนางจางเบิกความว่ารถจักรยานยนต์ที่แล่นตามหลังรถจักรยานยนต์ของผู้ตายคนขับเป็นชาย เคยเห็นหน้ามาก่อน และมีจำเลยซึ่งเป็นญาติกับพยานนั่งซ้อนท้าย ขณะขับรถจักรยานยนต์ดังกล่าวแล่นสวนทางกับรถจักรยานยนต์ที่พยานนั่งซ้อนท้าย จำเลยทักทายกับพยานโดยการพยัก หน้า เมื่อรถจักรยานยนต์ที่นายนิดขับแล่นไปข้างหน้าได้ประมาณ 40 วา ในระยะเวลานานประมาณครึ่งนาทีพยานได้ยินเสียงปืนหลายนัด จึงให้นายนิดหยุดรถ เมื่อหันไปดูเห็นรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับล้มลง ส่วนรถจักรยานยนต์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายจอดอยู่ ขณะนั้นชายคนขับรถจักรยานยนต์และจำเลยยังนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ ในมือขวาของจำเลยถืออาวุธปืนเล็งไปทางผู้ตาย จากนั้นชายคนขับรถจักรยานยนต์ได้ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยหลบหนีไปทางทุ่งดินดำส่วนนายนิดเบิกความว่า ไม่รู้จักชายคนขับรถจักรยานยนต์ที่แล่นตามหลังรถจักรยานยนต์และชายคนหนึ่งซ้อนท้าย เห็นว่าคดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยาน 2 ปาก คือ นายนิดและนางจาง ตามคำเบิกความของนายนิดได้ความว่านายนิดไม่เห็นหน้าคนร้ายแต่ที่คำให้การชั้นสอบสวนของนายนิด เอกสารหมาย จ.5 ระบุจำเลยเป็นคนร้ายเนื่องจากนางจางบอกว่า คนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คือจำเลย และจำเลยที่นายนิดให้การถึงนั้นจะเป็นใคร นายนิดไม่รู้จัก คำเบิกความของนายนิดที่ว่าไม่เห็นหน้าคนร้ายมีเหตุผลให้ฟังได้ เนื่องจากพยานหลักฐานที่โจทก์อ้างต่อศาลไม่ปรากฏว่าในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนได้ให้นายนิดชี้ตัวจำเลยแต่อย่างใด หากนายนิดเห็นและจำหน้าคนร้ายได้แล้วไม่มีเหตุผลที่พนักงานสอบสวนจะไม่ให้นายนิดชี้ตัวคนร้าย ส่วนนางจางที่เบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายนั้น เห็นว่า เบิกความขัดต่อเหตุผลกล่าวคือ ตามปกติวิสัยของคนร้ายย่อมจะต้องปกปิดมิให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยรู้เห็นการกระทำความผิดของตนตามคำเบิกความของนางจางได้ความว่า นางจางรู้จักกับจำเลยมาก่อนเพราะเป็นญาติกัน ดังนี้ หากจำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายจริงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าขณะขับรถจักรยานยนต์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายแล่นสวนทางกับรถจักรยานยนต์ที่นายนิดขับจำเลยจะพยัก หน้าทักทายกับนางจางเพื่อให้นางจางจำหน้าจำเลยได้ ทั้งไม่มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าจำเลยจะยิงผู้ตายในขณะที่รถจักรยานยนต์ที่นายนิดขับและนางจางนั่งซ้อนท้ายเพิ่งจะแล่นสวนทางกับรถจักรยานยนต์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายไปเพียงครึ่งนาที ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่นายนิดขับและนางจางนั่งซ้อนท้ายแล่นไปได้เพียง 40 วา เท่านั้น เพื่อให้นางจางและนายนิดรู้เห็นเหตุการณ์ยิงผู้ตายโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจโทยงยุทธ ไพบูลย์วงษ์ พนักงานสอบสวนว่า หลังเกิดเหตุประมาณ 1 ถึง 2 วัน จึงทราบว่าจำเลยเป็นคนร้าย โดยทราบจากการสอบสวน ซึ่งหากนางจางรู้เห็นเหตุการณ์ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายดังเบิกความแล้ว นางจางย่อมจะแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบในคืนเกิดเหตุทันทีเพราะผู้ตายเป็นน้องของตน แต่นางจางหาได้กระทำไม่ ที่นางระเบียบ บางน้ำมิตร ภริยาผู้ตายพยานโจทก์เบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 21 นาฬิกา หลังจากพยานกลับดูศพผู้ตาย นางจางและนายนิดไปบอกพยานที่บ้านว่า นางจางและนายนิดเห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้นก็คงมีนางระเบียบเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ นางจางและนายนิดหาได้เบิกความถึงข้อนี้ไม่ ซึ่งหากเป็นความจริงตามคำเบิกความของนางระเบียบ นางระเบียบคงจะไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนในคืนเกิดเหตุ นอกจากนี้ ไม่มีเหตุผลอันใดที่นาง จางกับนายนิดรู้ตัวคนร้ายแล้วไม่ไปแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบเพื่อจับกุมคนร้ายดำเนินคดี กลับไปแจ้งให้นางระเบียบทราบ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธตั้งแต่ชั้นจับกุมตลอดมาจึงเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ทั้งข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ายึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตามที่โจทก์ฟ้องจากจำเลย จึงไม่อาจฟังว่าจำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุน โดยไม่ได้รับอนุญาต กับพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานจำเลยต่อไปที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน