โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยกับผู้มีชื่อซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง  ร่วมกันมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครอง  โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้สักแปรรูปที่ได้มา   โดยการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้  พ.ศ. ๒๔๘๔  ขอให้ลงโทษและริบไม้ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า  ไม้ของกลางไม่ใช่ของจำเลย  และฟังไม่ได้ว่าไม้ของกลางอยู่ในความครอบครองของจำเลย  รูปคดีไม่มีทางลงโทษจำเลย  พิพากษายกฟ้อง  ไม้ของกลางให้ริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์  ส่วนไม้ของกลางเห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้แล้วก็ไม่ควรริบ  จึงไม่ริบไม้ของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔)  พ.ศ. ๒๕๐๓  มาตรา ๔ (๔)   บัญญัติคำว่า ?ไม้แปรรูป?  หมายความว่า ไม้ที่ได้แปรรูปแล้ว  แต่ไม่รวมถึงไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างหรืออยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้  ทั้งนี้  ตลอดเวลาที่อยู่ในสภาพเช่นนั้น ฯลฯ?  และพระราชบัญญัติป่าไม้  พ.ศ. ๒๔๘๔  มาตรา ๗๔  บัญญัติว่า  ?บรรดาไม้หรือของป่าอันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำผิดตามพระราชบัญญัตินี้ให้ริบเสียทั้งสิ้น?
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าไม้ของกลางในคดีนี้เป็นไม้สักที่ได้ทำเป็นบานประตูและหน้าต่างสำเร็จรูปแล้ว ฉะนั้น ไม้ของกลางจึงเป็นไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้าง  หาใช่เป็นไม้แปรรูปอันจะต้องริบตามที่กฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติไว้ไม่  ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ริบไม้ของกลางชอบแล้ว  ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน  ให้ยกฎีกาโจทก์