โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ให้เงิน ๕,๔๐๐ บาทแก่จำเลยไปไถ่ถอนการขายฝากที่ดิน จำเลยไถ่ถอนแล้ว ไม่นำที่ดินนั้นมาทำจำนองกับโจทก์ตามสัญญา ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ชั้นพิจารณา ศาลเห็นว่าโจทก์ยื่นบัญชีพยานฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘ จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นสืบพยาน และพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานและศาลชั้นต้นสั่งว่า "รวม" ในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๐๗ และในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๐๗ เป็นวันนัดสืบพยานครั้งแรก การยื่นบัญชีพยานของโจทก์จึงเป็นการยื่นก่อนวันสืบพยานเพียงวันเดียว ทนายโจทก์แถลงว่าตั้งใจจะยื่นบัญชีพยานในวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๐๗ แต่เป็นวันพืชมงคล และหยุดราชการ ทนายโจทก์ไม่ทราบ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ข้ออ้างของโจทก์จะฟังไม่ได้ก็ตาม แต่ปรากฏว่าวันที่ ๙ และ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๐๗ เป็นวันเสาร์และอาทิตย์อันเป็นวันหยุดราชการ โจทก์มายื่นในวันจันทร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๐๗ ศาลชั้นต้นได้สั่งรวมไว้แล้ว ทั้งในวันสืบพยานโจทก์ได้นำพยานที่ระบุอ้างมาศาลครบถ้วน ดังนี้ จะถือว่าการกระทำของโจทก์เป็นการจู่โจมเอาเปรียบจำเลยดังฎีกาจำเลยยังไม่ถนัด ยังไม่พอที่จะฟังว่าโจทก์มีเจตนาจะฝ่าฝืน เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ดังกล่าว ประกอบกับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๘๗(๒) ระบุว่า "เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้" ศาลฎีกาเห็นว่า
กรณีสมควรจะรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๘๗,๒๔๓,๒๔๗ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายืน