โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพยายามฆ่านายวีระยุทธ์ สาทิสสะรัต โดยใช้ปืนยิงแต่ไม่ถูก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๓ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑, ๒๘๘, ๘๐, ๙๑
จำเลยรับในข้อมีและพกอาวุธปืนไปในทางสาธารณะ แต่สู้ว่าใช้ปืนยิงผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัว ในการที่ผู้เสียหายกับพวกใช้ดาบไล่พันจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าโดยลดมาตราส่วนโทษฐานเป็นเด็กอายุกว่า ๑๗ ปีให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ จำคุก ๕ ปี แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มีกำหนดขั้นต่ำ ๒ ปี ชั้นสูง ๓ ปี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๙, ๑๐ ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.๒๔๙๔ มาตรา ๒๙ บัญญัติว่า "คดีที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วนั้น ให้ฎีกาไปยังศาลฎีกาได้เหมือนอย่างคดีธรรมดา ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความ เว้นแต่กรณีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามความในมาตรา ๒๗ "
มาตรา ๒๗ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๐๖ บัญญัติว่า "คดีที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วนั้น ให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ได้เหมือนอย่างคดีธรรมดาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความ เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้
(๑) ฯลฯ
(๒) ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามมาตรา ๓๑ เว้นแต่ในกรณีที่การใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนนั้น เป็นการพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ส่งเด็กและเยาวชนไปเพื่อกักกันและอบรมมีกำหนดระยะเวลากับและอบรมเกิน ๓ ปี
(๓) ฯลฯ
ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๒๗ ซึ่งได้แก้โดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๒๗ ห้ามอุทธรณ์เฉพาะกรณีที่ศาลใช้ดุลยพินิจ เปลี่ยนโทษจำคุกหรือวิธีการเพื่อความปลอดภัยเป็นให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนบางประการเท่านั้น มิได้ห้ามจำเลยที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ฉะนั้น จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงดังกล่าวได้หรือไม่ จึงต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอย่างคดีธรรมดา
คดีนี้ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางนั้น มิได้ลงโทษจำเลยโดยจำคุกเกิน ๕ ปี จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘
จำเลยฎีกาว่า กระทำโดยจำเป็นเพื่อป้องกันตัว เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกา พิพากษายกฎีกาของจำเลย.