คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้เงินเป็นเงิน ๔๓๗.๓๐ รูเบีย ถ้าไม่สามารถชำระเป็นเงินรูเบียได้ ก็ให้ใช้เงินไทยในอัตราแลกเปลี่ยนเวลานี้เป็นเงิน ๓๗๔๙.๒๐ บาท ให้โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้องในอัตรารูเบียละ ๑ บาท
โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ในอัตรารูเบียละ ๔๐ สตางค์ตามอัตราแลกเปลี่ยนครั้งสุดท้ายของทางการก่อนมีพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
โจทก์ฎีกาว่า อัตราแลกเปลี่ยนนี้ควรเป็นรูเบียต่อ ๔ บาทตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันไว้แล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์จำเลยรับว่า เมื่อขณะทำสัญญากู้เงินอัตราแลกเปลี่ยน ๑ รูเบียต่อ ๘๐ สตางค์ อัตรานี้ได้ถือปฏิบัติเป็นทางการตลอดมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้มีพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ห้ามแลกเปลี่ยนเว้นแต่จะได้รับอนุญาต ที่จำเลยแถลงว่า เวลานี้ในท้องตลาดแลกเปลี่ยนกัน ๑ รูเบียต่อ ๔ บาทหรือ ๖ บาทนั้น หมายถึงการแลกเปลี่ยนกันในตลาดมืด ไม่ใช่อัตราปรกติ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อไม่ปรากฎอัตราแลกเปลี่ยนกันในขณะนี้ ก็ต้องถือเอาอัตราแลกเปลี่ยนครั้งสุดท้ายคือ ๑ รูเบียต่อ ๘๐ สตางค์ จะเอาอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดมาใช้ดังโจทก์ฎีกาไม่ได้ แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นตัดสินให้จำเลยชำระในอัตรา ๑ รูเบียต่อ ๑ บาท จำเลยยอมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะแก้เป็นอย่างอื่น จึงพิพากษาแก้ใหบังคับคดีตามศาลชั้นต้น