ได้ความว่า เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ฯ  ทำพินัยกรรม์ยกเงิน ๖๐,๐๐๐ บาทให้แก่โจทก์และตั้งจำเลยเป็นผู้รักษาเงินไว้ให้โจทก์ในเวลาที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ฯตายโจทก์ศึกษาอยู่ต่างประเทศ จำเลยรับรองต่อโจทก์ว่า  ถ้าโจทก์ยังไม่ถอนเงินส่วนได้ของโจทก์และยอมให้อยู่ในความปกครองของจำเลย ๆ จะส่งเงินผลประโยชน์ให้โจทก์  และจำเลยก็ได้ส่งเงินผลประโยชน์ไปให้โจทก์  บัดนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนทั้งหมด  ฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่า  โจทก์มอบให้จำเลยเอาเงินไปหาผลประโยชน์ จำเลยจึงเอาไปลงทุนทำภาพยนตร์เรื่องจรเข้  เวลานี้ถอนทุนคืนยังไม่ได้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ขอเอาเงินไปทำประโยชน์อย่างอื่น  โจทก์มีหนังสือตอบมาว่า  ถ้าจำเลยไม่รังเกียจ  โจทก์ก็ขอฝากให้อยู่ในความปกครองของจำเลยต่อไป โจทก์ว่าโจทก์มีเงินฉะเพาะเท่านี้ฉะนั้นโจทก์จึงต้องตรองก่อนที่จะเอาเงินนี้ไปทำผล  แต่ถ้าจำเลยจะกรุณารับผิดชอบ  มิหนำจะหาผลประโยชน์ให้ด้วยแล้ว  โจทก์ก็ยอมมอบให้จัดการในทางหนึ่งทางใดที่จำเลยเห็นดี
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  เอกสารนั้นไม่แสดงว่า  โจทก์ยอมให้จำเลยเอาเงินไปลงทุนในลักษณะที่ว่าได้ด้วยกันเสียด้วยกัน มีความหมายเพียงว่า  โจทกืยอมให้จำเลยปกครองรักษาและจัดการหาประโยชน์ในเงินรายนี้โดยทางใดทางหนึ่งแล้ว  แต่จำเลยจะเห็นดีซึ่งลักษณะเดียวกับที่ปฏิบัติอยู่แล้วเท่านั้น  ฉะนั้นจำเลยจึงต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ตามจำนวนที่รับกันคือ ๕๗,๕๐๐ บาท  ข้อที่จำเลยฎีกาว่าเรื่องนี้เกิดก่อนใช้ประมวลแพ่งฯ  จึงนำประมวลแพ่งฯ  มาปรับคดีไม่ได้นั้น  ศาลฎีกาเห็นว่า  หลักในเรื่องคำเสนอคำสนองก่อให้เกิดสัญญาผูกพันคู่กรณีเพียงไรหรือไม่นั้นมีลักษณะเดียวกัน  ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น  จึงพิพากษายืนตามศาลล่างที่บังคับให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์  ๕๗,๕๐๐ บาทกับดอกเบี้ย.