เดิมศาลพิพากษา ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดพระราชบัญญัติรักษาป่าและกฎข้องบังคับวิธีจัการรักษาป่า พ.ศ. ๒๔๕๖ ข้อ ๑๖ ให้ปรับจำเลย และให้ริบไม้ของกลางศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลให้จำเลยฟังวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๙ คดีถึงที่สุด วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๘๐ ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านว่า ไม่มีศาลพิพากษาให้ริบนั้นผู้ร้องได้ซื้อไว้แล้วโดยสุจริตและเปิดเผยจึงขอรับไม้คืน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาต้องกันว่าผู้ร้องได้ซื้อไว้แล้วโดยสุจริตและเปิดเผยไม่ทราบถึงการกระทำผิดของจำเลย ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ ทั้งผู้ร้องได้เรียกร้องมาภายในกำหนด ๑ ปีแล้ว จึง พิพากษาให้คืนไม้ของกลางให้ผู้ร้องไป
โจทก์ฎีกา ๓ ข้อคือ
๑. ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีไปสืบพะยานโจทก์ไม่ชอบ
๒. ไม้รายนี้ศาลได้พิพากษาให้ริบแล้วศาลล่างคืนให้ผู้ร้องยังไม่ชอบ
๓. ศาลอุทธรณ์สั่งคืนค่าธรรมเนียมให้ โจทก์ชอบแล้ว แต่ที่สั่งคืนให้ผู้ร้องยังไม่ชอบเพราะผู้ร้องต้องเสียค่าธรรมเนียมเช่นคดีแพ่ง
ศาลฎีกาตัดสินว่าเรื่องนี้เป็นของคดีอาญาฐานะของคดีในชั้นนี้จึงอยู่ในบังคับตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ม. ๒๑๘ โจทก์จะ ฎีกาได้ฉะเพาะปํญหาข้อกฎหมายฎีกา ๑. ของโจทก์ที่ว่าศาลล่างควรยอมให้โจทก์เลื่อนคดีไปเพื่อสืบพะยานหรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริงฎีกามิได้ ส่วนฎีกาข้อ ๒. ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงมาว่า ผู้ร้องได้ซื้อไม้รายนี้มาจากพ่อค้าที่เคยค้ายายติดต่อกันมาโดยสุจริตและเปิดเผย แม้ไม้รายนี้ผู้ขายจะได้มาจาการกระทำผิดกฎหมายหรือศาลพิพากษาให้ริบแล้วก็ตาม ประมวลแพ่งฯ ม. ๑๓๓๒ ก็เป็นบทยกเว้นมิให้ผู้ซื้อมิให้ผู้ซื้อต้องคืนไม้แก่เจ้าของ ในเรื่องค่าธรรมเนียมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ศาลสั่งให้ริบไม้ของกลางผู้ร้องมาร้องขอคืน ศาลจึงทำการไต่สวนซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยคดีอาญา ตามประมวล วิธีพิจารณาความอาญา ม.๒๕๒ จึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม จึงพิพากษาตามศาลอุทธรณ์