คดีได้ความว่า  เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๙๔  จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินโจทก์ไป ๑๕,๐๐๐ บาท  วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๔๙๘ จำเลยที่ ๑, ที่ ๒ (สามีภรรยา) ได้โอนที่ดินในคดีนี้ให้แก่จำเลยที่ ๓, ๔ และ ๕ ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หา  วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๐๑  โจทก์ฟ้องร้องเรียกเงินกู้จากจำเลยที่ ๑  ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินแก่โจทก์  คดีถึงที่สุดแล้ว  วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๐๑ โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนการโอน  โดยอ้างว่าเพิ่งทราบการโอนเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๐๑ และจำเลยที่ ๑, ๒ รู้อยู่ว่าการโอนนั้นทำให้โจทก์เสียเปรียบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๓, ๔, ๕  ยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒
โจทก์และจำเลยที่ ๑, ๓, ๔, ๕ ยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒
โจทก์และจำเลยที่ ๑, ๓, ๔, ๕ อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗  ซึ่งบัญญัติให้เจ้าหนี้ขอให้ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการโอนได้นั้น  มีข้อความระบุว่าจะต้องเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงโดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  การรู้ดังกล่าวนี้จะต้องรู้อยู่ขณะที่ทำนิติกรรมการโอน  ฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างถึงเหตุดังกล่าวนั้น  ฝ่ายจำเลยให้การปฏิเสธ  จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำสืบให้รับฟังได้  การนำสืบของโจทก์ไม่พอแสดงว่าจำเลยโอนที่พิพาทไปโดยรู้ว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ  จึงพิพากษายืน