ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 7761 เนื้อที่ประมาณ2 ไร่ 64 ตารางวา มีชื่อนายพรชัย วงศ์ยฤทธิ์นายวีระพันธ์ วงศ์ยฤทธิ์ นายวีระศักดิ์ วงศ์ยฤทธิ์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องได้ครอบครองบางส่วนเนื้อที่ประมาณ 50ตารางวา ตลอดมาจนปัจจุบันเป็นเวลา 26 ปีแล้ว โดยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 7761 เฉพาะส่วนที่ผู้ร้องครอบครองเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของผู้คัดค้านทั้งสาม จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 7761 เนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวาซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้สุด เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 7761ของผู้คัดค้านทั้งสามมาเป็นเวลา 26 ปีแล้วโดยที่ดินพิพาทอยู่ทางด้านทิศใต้สุดของที่ดิน เนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา มีอาณาเขตทิศเหนือติดที่ดินของผู้คัดค้านทั้งสาม ทิศใต้ติดที่ดินของนางสำลี ขาวสะอาด ทิศตะวันออกติดทางสาธารณประโยชน์ และทิศตะวันตกติดที่ดินราชพัสดุ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าการครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องเป็นการครอบครองโดยสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ ผู้ร้องเบิกความว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เป็นป่ารก เป็นทางน้ำไหล ผู้ร้องได้ถมดินถางป่า นายหย่งเฮง ตาของผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินขณะนั้นรู้เห็นก็มิได้ว่ากล่าว ตอนแรกผู้ร้องไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ใดเพิ่งมาทราบในภายหลัง ส่วนผู้คัดค้านทั้งสามนั้นมีผู้คัดค้านที่ 2 มาเบิกความเป็นพยานว่าพยานไม่เคยมอบการครอบครองให้ผู้ร้อง แต่ให้ผู้ร้องอยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้อาศัยเนื่องจากพยานรู้จักกับบุตรชายผู้ร้องและผู้ร้องเป็นคนเก่าแก่ พยานได้ทราบแนวเขตที่ดินของพยานว่าเข้าไปอยู่ในบ้านผู้ร้องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514หลังจากที่ได้รับการยกให้จากตา เหตุที่มิได้ขับไล่ผู้ร้องออกไปเนื่องจากว่าผู้ร้องขออยู่อาศัยและแจ้งว่าถ้าประสงค์จะใช้ประโยชน์ที่ดินเมื่อใดก็จะรื้อถอนออกไป ซึ่งข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านที่ 2เบิกความนั้น ผู้คัดค้านที่ 2 เพิ่งยกขึ้นมาโดยมิได้กล่าวอ้างไว้ในคำให้การ ทั้งมิได้ถามค้านไว้เมื่อผู้ร้องมาเบิกความคำเบิกความของผู้ร้องที่ 2 จึงไม่น่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงเชื่อว่าเป็นดังที่ผู้ร้องเบิกความ การครอบครองที่ดินพิพาทในลักษณะที่ผู้ร้องเบิกความถือได้ว่าเป็นการครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นการครอบครองโดยสงบและเปิดเผย ที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว"
พิพากษายืน