โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 288 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายบุญเที่ยง บุตรของนายบัว ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้คืนของกลางทั้งหมดแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่านายบัว ผู้ตายเป็นพี่ชายของจำเลยและมีเรื่องทะเลาะกันเกี่ยวกับที่ดินมรดก ตามวันเวลาเกิดเหตุผู้ตายขับรถยนต์กระบะไปบ้านของจำเลยซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง จากนั้นผู้ตายใช้มีดอีโต้ไล่ฟันจำเลย จำเลยวิ่งหนีขึ้นไปบนบ้านปิดประตูล๊อกไว้ ผู้ตายวิ่งตามขึ้นไปใช้เท้าถีบประตูแล้วผู้ตายขับรถยนต์ออกไปในระหว่างนั้นจำเลยลงมาข้างล่างบอกนางทองมี และเด็กชายยุรนันท์ ซึ่งนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านของจำเลยว่าจำเลยจะไปบ้านนางละมุล บุตรสาวของจำเลยด้วยเกรงว่าผู้ตายจะกลับมาทำร้ายอีกให้เด็กชายยุรนันท์ หากุญแจมาล๊อกบ้าน แล้วจำเลยร้องบอกเด็กชายยุรนันท์ให้เอากุญแจซึ่งอยู่ในครัวมาล็อกด้านนอกประตูบ้านที่จะขึ้นข้างบนแต่ยังไม่ทันที่เด็กชายยุรนันท์จะนำกุญแจมาล็อกประตู ผู้ตายซึ่งมีอาวุธปืนพกลูกซองสั้นติดตัวได้ขึ้นไปบนบ้านของจำเลย จากนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นจากอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .38 ของจำเลย 2 นัด ลูกกระสุนปืน 1 นัด ถูกผู้ตายที่บริเวณใต้ชายโครงขวาด้านหน้ากระสุนปืนทะลุเหนือสะโพกซ้ายด้านหลัง ผู้ตายลงมาข้างล่างดื่มน้ำจากโอ่งที่ตั้งอยู่ทางขึ้นบันไดบ้านแล้วขับรถยนต์กระบะออกไปแต่รถยนต์เสียหลักไปจอดอยู่กลางทุ่งนา ผู้ตายถึงแก่ความตายภายในรถยนต์นั้น หลังเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกศักดาฤทธิ์ พนักงานสอบสวนตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยกระสุนปืนทะลุประตูหน้าบันไดขึ้นชั้นบนบ้านของจำเลย 1 รู แล้วหัวกระสุนปืนนั้นไปชนกับฝาบ้านข้างประตูทางขึ้นบันไดตามภาพถ่ายหมาย จ.3 และยังพบหัวกระสุนปืน 1 หัว ตกอยู่บริเวณพื้นทางขึ้นบันไดบ้านตามภาพถ่ายหมาย จ.4 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ โจทก์มีเด็กชายยุรนันท์และบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางทองมีเป็นพยาน โดยเด็กชายยุรนันท์เบิกความสรุปได้ว่าขณะที่พยานและนางทองมีซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าของจำเลยยังนั่งอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้าน ผู้ตายขับรถเข้ามาจอดที่บ้านของจำเลยแล้วลงมาจากรถ ผู้ตายถามหาจำเลย พยานยังไม่ทันได้ตอบผู้ตายซึ่งเหน็บอาวุธปืนไว้ที่เอวด้านหน้าได้ขึ้นไปบนบ้านพร้อมกับพูดว่า มึงมี .38 กูมีลูกซองเอามาดวลกัน มึงกับกูต้องตายไปข้างหนึ่ง จากนั้นพยานได้ยินเสียงตึงตังโครมครามอยู่บนบ้าน จำเลยร้องตะโกนช่วยด้วย ๆ อยู่หลายคำ แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด พยานเห็นผู้ตายมีปืนเหน็บอยู่ที่เอวด้านหน้าวิ่งลงมาข้างล่าง เมื่อดื่มน้ำจากโอ่งที่ตั้งอยู่ทางขึ้นบันไดบ้านแล้วผู้ตายขับรถยนต์ออกไป ส่วนนางทองมีถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะมาเบิกความต่อศาล โจทก์จึงอ้างส่งบันทึกคำให้การของนางทองมีในชั้นสอบสวนต่อศาลตามบันทึกคำให้การของพยานซึ่งนางทองมีให้การในชั้นสอบสวนว่าเมื่อผู้ตายลงมาจากรถผู้ตายได้พูดท้าทายจำเลยว่ากูมีปืนลูกซอง มึงมี .38 เอามาดวลกันให้ตายไปข้างหนึ่งในวันนี้ ผู้ตายขึ้นไปบนบ้าน มีเสียงคนต่อสู้กันดังโครมคราม นางทองมีได้ยินเสียงจำเลยร้องคล้ายคนถูกทำร้าย สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด แล้วผู้ตายวิ่งลงมาจากบนบ้านผู้ตายตักน้ำกินแล้วขับรถยนต์ออกไป เห็นว่า คำให้การในชั้นสอบสวนของนางทองมีเป็นพยานบอกเล่า แต่โจทก์มีพันตำรวจโทสุจินต์ พนักงานสอบสวน เบิกความว่า ได้สอบปากคำของนางทองมีไว้ตามบันทึกคำให้การของพยาน เมื่อโจทก์มีพยานในที่เกิดเหตุเพียง 2 ปาก ดังกล่าวและนางทองมีถึงแก่ความตายไปก่อนทำให้โจทก์ไม่สามารถนำนางทองมีมาเบิกความได้ นางทองมีเป็นป้าของจำเลยจึงย่อมเป็นญาติกับผู้ตาย ซึ่งเป็นพี่ชายของจำเลยด้วยเชื่อว่าให้การไปตามความจริงมิได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เช่นนี้จึงมีเหตุผลสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของนางทองมีดังกล่าว เมื่อนำมาประกอบคำเบิกความของเด็กชายยุรนันท์ซึ่งสอดคล้องต้องกันเป็นอย่างดี จึงฟังได้ว่าผู้ตายขับรถยนต์กระบะกลับมาที่บ้านของจำเลยอีกครั้งหนึ่งผู้ตายเหน็บอาวุธปืนพกลูกซองสั้นไว้ที่เอวด้านหน้าขึ้นบันไดไปหาจำเลยที่ชั้นบนและร้องท้าทายจำเลยให้เอาอาวุธปืนของจำเลยมายิงกันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง โดยมีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ต่อเนื่องกันมาที่ผู้ตายใช้มีดอีโต้ไล่ฟันจำเลยมาแล้ว การกระทำของผู้ตายที่พาอาวุธปืนมาท้าทายจำเลยดังกล่าวหาใช่เป็นการข่มขู่จำเลยตามที่โจทก์ฎีกาไม่ แต่ฟังได้ว่าผู้ตายมีเจตนาจะเข้ามาใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายจำเลย จึงนับเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงตัวจำเลย แม้เด็กชายยุรนันท์และนางทองมีซึ่งอยู่ใต้ถุนบ้านจะไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชั้นบน แต่เด็กชายยุรนันท์และนางทองมีได้ยินเสียงตึงตังโครมครามและได้ยินเสียงจำเลยให้ช่วยก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้น อันแสดงว่าเมื่อผู้ตายขึ้นไปพบจำเลยแล้วมีการต่อสู้กัน จำเลยจึงชอบที่จะใช้สิทธิป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายของผู้ตายได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการยิงจากข้างบนลงมาข้างล่างในขณะที่ผู้ตายกำลังขึ้นไปบนบ้านหรือยืนอยู่บนบันใดขึ้นบนบ้าน ลูกกระสุนปืนจึงทะลุประตูหน้าบันไดทางขึ้นบ้านแล้วตกอยู่ที่พื้นทางบันไดนั้น เห็นว่า ตามภาพถ่ายหมาย จ.3 และ จ.4 วิถีกระสุนที่ทะบุประตูบ้านนี้ไปชนกับฝาบ้านข้างประตูทางขึ้นบันได อันแสดงว่าขณะยิงนั้นประตูบ้านได้เปิดอยู่แล้วกระสุนปืนจึงไปชนกับฝาบ้านด้านที่บานประตูเมื่อเปิดแล้วบังฝาบ้านส่วนนี้ไว้ จากนั้นหัวกระสุนปืนจึงตกลงไปที่บริเวณทางขึ้นบันไดบ้าน หากประตูบ้านยังคงปิดอยู่หัวกระสุนย่อมไม่อาจจะไปชนกับฝาบ้านข้างประตูทางขึ้นบ้านได้ ทั้งภาพถ่ายหมาย จ.3 เป็นการถ่ายรูปจากข้างล่างขึ้นสู่ด้านบน จึงเห็นที่จับประตูให้ปิดเปิดอยู่สูงกว่าปกติแต่วิถีกระสุนปืนที่ทะลุประตูบ้านไปชนกับฝาบ้านเกือบจะเป็นเส้นตรง จึงมิใช่เป็นการยิงจากข้างบนลงมาข้างล่างแต่เป็นการยิงเมื่อผู้ตายขึ้นไปบนบ้านแล้วประกอบกับพยานโจทก์ได้ยินเสียงต่อสู้กันก่อนที่เสียงปืนจะดัง จึงมิได้เป็นการยิงในขณะที่ผู้ตายกำลังขึ้นไปบนบ้านหรือยืนอยู่บนบันไดขึ้นบนบ้าน ทำให้ข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ การที่จำเลยยิงปืน 2 นัด แต่ลูกกระสุนปืนถูกผู้ตายเพียงนัดเดียว เมื่อผู้ตายถูกยิงแล้วจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายอีกจึงเป็นการป้องกันที่พอสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลยอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน