คดีนี้ สืบเนื่องจากจำเลยกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗  ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับจำเลยทั้งสอง  โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๑ ปี  ส่วนไม้ของกลางจำนวน ๑๙ ท่อนและรถยนต์บรรทุกไม้คันหมายเลขทะเบียน ก.พ. ๐๐๕๙๗  ซึ่งใช้เป็นยานพาหนะบรรทุกไม้กระทำผิดชักลากไม้นำไม้ออกจากป่าคดีนี้ให้ริบ  ต่อมานายทองแดง  กระต่ายทอง  ได้ยื่นคำร้องว่ารถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน  ก.พ.๐๐๕๙๗  ที่ศาลพิพากษาให้ริบด้วยนั้นเป็นของผู้ร้อง  โดยจำเลยทั้งสองได้ยืมรถยนต์ของผู้ร้องไปรับจ้างบรรทุกสินค้าเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเอง  การที่จำเลยทั้งสองนำรถยนต์ของผู้ร้องไปบรรทุกไม้ที่ทำในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตนั้น  ผู้ร้องไม่ทราบและไม่ได้ให้ความยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยทั้งสองนำรถยนต์ของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำผิดด้วยเลย  ขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.พ.๐๐๕๙๗  ที่ศาลสั่งริบแก่ผู้ร้อง
โจทก์รับสำเนาคำร้องของผู้ร้องแล้วมิได้ยื่นคำร้องคัดค้าน  ศาลชั้นต้นจึงได้ดำเนินการไต่สวนพยานผู้ร้องจนหมดพยานผู้ร้องแล้ว  โจทก์แถลงขอสืบพยานโดยจะขอสืบพนักงานสอบสวนและพนักงานป่าไม้ผู้จับ  ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่ได้ยื่นคำคัดค้านคำร้องของผู้ร้องและไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ก่อนและตามคำฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้สมคบกับผู้อื่น  จึงไม่มีประเด็นให้โจทก์นำสืบ  ให้งดสืบพยานโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  เชื่อว่ารถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้อง  ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด  จึงมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานโจทก์  และสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า  การไต่สวนคำร้องขอคืนของกลางในคดีอาญา  แม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นคำคัดค้านคำร้องของผู้ร้องไว้  ศาลก็ควรให้โจทก์นำพยานเข้าสืบหักล้างพยานผู้ร้องได้ด้วย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว  เห็นว่าการที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด  แม้โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วมิได้ยื่นคำร้องคัดค้านก็ตาม  ก็จะถือว่าโจทก์รับว่ารถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องและรวมตลอดว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยยังไม่ได้  ส่วนที่โจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานนั้นเห็นว่า  การขอคืนรถยนต์ของกลางในคดีนี้เป็นสาขาคดีอาญา  เมื่อผู้ร้องสืบพยานของผู้ร้องหมดแล้ว  โจทก์ได้แถลงต่อศาลขอสืบพยานของโจทก์คือพนักงานสอบสวนและพนักงานป่าไม้ผู้จับดังนี้  เท่ากับโจทก์ขอระบุพยานที่จะสืบเมื่อฝ่ายผู้ร้องสืบพยานเสร็จ  และตามรูปคดีสมควรจะได้ฟังพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบข้อวินิจฉัย  ฉะนั้น  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  ศาลฎีกาเห็นควรอนุญาตให้โจทก์สืบพยานตามที่โจทก์แถลงขอสืบ  ที่ศาลล่างทั้งสองงดสืบพยานโจทก์นั้น  ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ตามที่ขอสืบแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี