โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจแปรรูปไม้ตะเคียนซึ่งเป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ.2494 และมีไม้แปรรูปดังกล่าวนี้ซึ่งมีเนื้อไม้เกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตรไว้ในความครอบครองของจำเลยที่ตำบลห้วยสักซึ่งเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และจำเลยได้ชักลากนำไม้แปรรูปดังกล่าวโดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่
จำเลยรับสารภาพว่า ได้แปรรูปไม้ ชักลากไม้ และมีไม้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจริง
โจทก์ จำเลยไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์ ไม่ครบองค์เกณฑ์ที่จะลงโทษจำเลยฐานแปรรูปไม้และมีไม้แปรรูปไม่รับอนุญาต จึงพิพากษาลงโทษจำเลยฐานชักลากนำไม้เคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางสถานเดียวไม้ของกลางมิใช่มีไว้หรือได้มาเนื่องจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ จึงไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับ มาตรา 48 แห่ง พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 โจทก์บรรยายครบถ้วนตาม มาตรา 158แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้ว พิพากษากลับศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีผิดฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม้ของกลางให้ริบให้ยกฟ้องของโจทก์ในข้ออื่นเสีย
จำเลยฎีกาว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์พอจะลงโทษจำเลยได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหามีว่า ในข้อหาของโจทก์ฐานแปรรูปไม้และมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น โจทก์จำเป็นจะต้องบรรยายถึงข้อความตามมาตรา 50 แห่ง พระราชบัญญัติป่าไม้ด้วยหรือไม่ เมื่อพิเคราะห์ฟ้องแล้วเห็นได้ว่าโจทก์กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดไว้ครบถ้วนแล้ว ส่วนมาตรา 50ดังกล่าว เป็นบทบัญญัติยกเว้นโทษ มิใช่องค์เกณฑ์ของความผิดจึงไม่จำเป็นจะต้องบรรยายไว้ในฟ้อง พิพากษายืน