โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 7 กับพวกที่ยังหลบหนีไม่ได้ตัวอีก 1 คนร่วมกันปล้นทรัพย์กระบือ 8 ตัว ราคา 8,800 บาทของนายหู พันธ์ชาลี ไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 83
นายหู พันธ์ชาลี ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม
จำเลยทั้ง 7 คนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทุกคนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 83 จำคุกคนละ 10 ปี
จำเลยทั้ง 7 คนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง 7 คนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นคนร้ายปล้นทรัพย์การที่จำเลยที่ 6 นำรถยนต์ไปจอดรับกระบือและจำเลยที่ 7 ช่วยนำกระบือขึ้นรถในเวลากลางคืน จำเลยที่ 6 ได้ให้การชั้นสอบสวนว่า "นายหล่อบอกกับจำเลยที่ 6 ว่า นายทองดีจับเจ้าของกระบือมาด้วย จวนจะปล่อยแล้ว ให้บีบแตรรถ และนายหล่อส่งเสียงกู่หลายครั้ง..." เมื่อจำเลยที่ 6 ขับรถยนต์บรรทุกกระบือไปจากที่เกิดเหตุก็ขับอย่างเร็วผ่านด่านตรวจก็ไม่ยอมหยุดให้ตรวจถึงสองด่าน จนถึงด่านตรวจที่ตลาดลำนารายณ์ซึ่งเป็นเวลาจวนสว่างจึงนำกระบือลง เมื่อถูกจับจำเลยที่ 7 ก็รับกับสิบตำรวจเอกซึ่งว่าได้บรรทุกกระบือมาจริง แต่นำกระบือลงที่ข้างสถานีรถไฟลำนารายณ์เพราะมีด่านตรวจที่ตลาดลำนารายณ์ เมื่อรถบรรทุกผ่านด่านแล้วจะไปรับกระบือที่เขายายกะตา พฤติการณ์ที่ได้ความดังนี้ จึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 6 ที่ 7 รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ไปทำการปล้นทรัพย์กระบือจากโจทก์ร่วม การที่จำเลยที่ 6 ที่ 7 นำรถยนต์ไปจอดรอรับกระบือที่ได้จากการปล้น จึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การปล้นทรัพย์บรรลุผลสำเร็จโดยเพื่อพาทรัพย์ที่ได้จากการปล้นไปให้พ้นจากการติดตามเอาคืนจากพวกเจ้าทรัพย์หรือเจ้าพนักงานอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำจำเลยที่ 6 ที่ 7 จึงต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5
พิพากษายืน