โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงจะขายที่นาให้โจทก์ 1 แปลงราคา 1,000 บาท ต่อมาจำเลยกลับไม่ยอมขาย จึงขอให้บังคับให้ขายให้โจทก์
จำเลยให้การว่า ความจริงโจทก์จำเลยตกลงแลกเปลี่ยนที่นากันแต่อำเภอแจ้งว่าการทำสัญญาแลกเปลี่ยนไม่สะดวกไม่เคยทำ ให้ทำเป็นทำนองขายที่นาให้ซึ่งกันและกัน อันเป็นการอำพรางเจตนาอันแท้จริงคือเจตนาแลกเปลี่ยน ครั้งถึงเมื่อจะทำสัญญากันที่อำเภอ เจ้าพนักงานแจ้งว่านาโจทก์ติดภาระจำนอง ทำนิติกรรมให้ไม่ได้จนกว่าจะได้ไถ่ถอนเสียก่อน โจทก์ไม่ยอมไถ่ เจ้าพนักงานจึงไม่ทำนิติกรรมให้ถ้าจำเลยทราบมาก่อนว่าที่โจทก์ ติดภาระจำนองอยู่ จำเลยก็ไม่ตกลงแลกเปลี่ยนด้วย จำเลยจึงไม่ยอมขายที่นาของจำเลยให้โจทก์และบอกเลิกการแลกเปลี่ยนแล้ว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ว่า (1) การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารซึ่งมีข้อความชัดเจนว่า จำเลยตกลงจะขายที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้นขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ข้อนี้เห็นว่าเป็นเรื่องนิติกรรมอำพราง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 118 วรรคสอง ให้บังคับตามเจตนาอันแท้จริง ฉะนั้นคู่สัญญาจึงนำสืบถึงเจตนาอันแท้จริงได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
(2) ที่โจทก์อ้างว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 519ว่า ให้นำบทบัญญัติในลักษณะซื้อขายมาใช้ถึงการแลกเปลี่ยนด้วยฉะนั้นแม้จะฟังว่าจะแลกเปลี่ยนกัน จำเลยก็ต้องยอมแลกเปลี่ยนกับโจทก์ ข้อนี้เห็นว่าตามฟ้องโจทก์ไม่ได้ขอบังคับให้แลกเปลี่ยนจึงบังคับให้ไม่ได้ ฉะนั้นจึงพิพากษายืน