โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไม่มีสิทธิใช้ยศร้อยตำรวจโท ได้ อ้างแสดงว่าตนมียศเป็นร้อยตำรวจโทเพื่อให้นายวินัย เอี่ยมจิตร และคนทั้งหลายเชื่อเช่นนั้น และกล่าวฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทมีใจความว่า จำเลยได้ใส่ความหมายนายเลื่องบุญ ศราภัยวนิช ต่อนายไชยยง ชวลิต ผู้อำนาจการบริษัทไทยพาณิชยการ จำกัด และนายชาญ สินสุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามนิกรว่า นายเลื่องบุญเป็นผู้นำคนไทยจำนวนหนึ่ง ไปทัศนาจรประเทศอินเดีย แล้วคนไทยถูกเจ้าพนักงานศุลกากรอินเดีย ยึดทองคำที่นำติดตัวไปนั้นเก็บไว้และออกใบรับให้ ต่อมานายเลื่องบุญได้หลอกลวงเอาใบรับไปยื่นขอรับทองคำจากเจ้าพนักงานศุลกากรอินเดียเอง ในทำนองสุจริต ทั้งนี้ จำเลยกระทำโดยประสงค์ต่อผลในการหมิ่นประมาทนั้นว่า นายไชยยงกับนายชาญจะต้องนำข้อความดังกล่าวออกโฆษณาด้วย เอกสารหนังสือพิมพ์ไทยและสยามนิกรต่อมานายไชยยง และนายชาญ ได้โฆษณาข้อความนั้น ในหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย ทำให้นายเลื่องบุญเสียชื่อเสียงและถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๖,๓๒๖,๓๒๘
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายเลื่องบุญ ศราภัยวนิช ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมเฉพาะข้อหาตามมาตรา ๓๒๖,๓๒๘
ศาลแขวงพระนครใต้เห็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๓๒๖,๓๒๘ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๒๘ ซึ่งเป็นบทหนัก รอการลงโทษ ส่วนข้อหาตามมาตรา ๓๒๖ ให้ยก
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ให้ลงโทษหนักขึ้น และอย่ารอการลงโทษ จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยกล่าวข้อความแก่นายไชยยง แล้วนายไชยยงได้นำข้อความนั้นไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ที่ตนเป็นบรรณาธิการนั้น จำเลยหาควรมีความผิดตามมาตรา ๓๒๘ ด้วยไม่ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา + พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๓๒๖ สำหรับข้อหาฐานใช้ยศร้อยตำรวจโท โดยไม่มีสิทธินั้น ผู้ว่าคดีโจทก์มิได้อุทธรณ์จึงเป็นอันยุติ
ผู้ว่าคดีโจทก์ ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา ๓๒๘ ประกอบกับมาตรา ๘๔
ศาลฎีกาเห็นว่า นอกจากศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ดังกล่าวยังเห็นอีกว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยได้ใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือได้กระทำด้วยวิธีอื่นใดต่อนายไชยยงให้พิมพ์ข้อความนั้นแต่ประการใด ทั้งพยานโจทก์และโจทก์ร่วมก็มิได้เบิกความว่าจำเลยได้กระทำเช่นนั้น จำเลยจึงยังไม่ควรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๔
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์