คดีนี้  โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่าย  จำเลยที่ ๒ เป็นผู้สลักหลัง  โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีแต่ปรากฎว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีเงินในบัญชีธนาคารพอจ่าย  ธนาคารจึงคืนเช็คให้โจทก์  จึงให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็ค
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์  แล้วให้จำเลยลงชื่อด้านหลังเช็คเป็นการรับรองชื่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีหลายชื่อ  ไม่ใช่เซ็นในฐานะผู้สลักหลัง
ชั้นพิจารณา  จำเลยที่ ๑ มาศาลแถลงรับว่า  ฟ้องของโจทก์เป็นความจริง  ขอเลื่อนคดีทำความตกลงกัน  แต่แล้วตกลงกันไม่ได้  โจทก์และจำเลยที่ ๒ ขอสืบพยานแต่ศาลเห็นว่าคดีเป็นปัญหาหารือบทพอวินิจฉัยได้  ให้งดสืบพยาน  แล้วพิพากษาว่า  การที่จำเลยที่ ๒ ลงชื่อในด้านหลังเช็ค  มีความหมายเป็นการสลักหลัง  ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินตามเช็ค
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  การที่จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อของตนไว้ในด้านหลังเช็คเช่นนี้  ย่อมมีผลเป็นการโอนไปซึ่งบรรดาสิทธิอันเกิดแต่เช็คนั้น  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๙๒๐  ไม่ต้องทำการโอนกันตามมาตรา ๓๐๖ อีก และไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙๓๙ วรรค ๒ และ ๓ เพราะมาตรา ๙๒๑ บัญญัติไว้เป็นพิเศษแล้ว  ทั้งนี้โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๘๙ ให้นำบทบัญญัติในมาตรา ๙๒๐ และ ๙๒๑ มาใช้ในเรื่องเช็คด้วย  จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิด  การฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้  ไม่จำเป็นแก่คดี
พิพากษายืน