คดีนี้ธนาคารจำเลยที่ ๑  ขอให้เรียกบริษัทจำเลยที่ ๒  เข้ามาในคดีและบริษัทจำเลยร่วมร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ ๑  และที่ ๒   โดยถือเอาคำให้การของจำเลยที่ ๑ และ ๒ เป็นข้อต่อสู้
โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างเหมาให้จำเลยที่ ๒  สร้างคานเรือกำหนดให้เสร็จภายใน ๓๐ เดือน  ราคาก่อสร้าง ๓๐ ล้านบาท  ถ้าทำไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดยอมให้โจทก์ปรับวันละ ๕,๐๐๐ บาท  จนกว่าจะเสร็จ  และในวันทำสัญญา  จำเลยที่ ๒ ต้องวางเงินมัดจำหรือเสนอหนังสือรับรองของธนาคารเป็นเงิน ๑ ล้าน ๕ แสนบาท  เพื่อเป็นการประกันการปฏิบัติตามสัญญา  หากปฏิบัติผิดสัญญา  โจทก์จะริบเงินหรือเรียกร้องให้ธนาคารชำระ  จำเลยที่ ๑  เข้าทำสัญญาค้ำประกัน  หนังสือสัญญาค้ำประกันมีความว่าจำเลยที่ ๑  ยินยอมเข้าเป็นผู้ค้ำประกันภายในวงเงิน ๑ ล้าน ๕ แสนบาท  ถ้าจำเลยที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาและโจทก์ได้รับความเสียหาย  จำเลยที่ ๑ ยอมใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ ๒ ทันที  โจทก์ไม่ต้องเรียกร้องจากจำเลยที่ ๒ ก่อน  อายุสัญญามีกำหนด ๓ ปี ๖ เดือนเว้นแต่ความผิดตามสัญญายังไม่สิ้นสุด  จะโดยเหตุใดก็ตาม  อายุสัญญาค้ำประกันจะขยายออกไปแล้วแต่กรณี  ครั้นวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๗  จำเลยที่ ๑  ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้อีกมีความว่า  ตามที่จำเลยที่ ๒ ขอรับเงินค่าจ้างเหมางวดที่ ๕ ไปจากโจทก์ ๔ ล้านบาทนั้น  หากจำเลยที่ ๒ ต้องถูกปรับเนื่องจากผิดสัญญาเป็นเงินเท่าใด  และจำเลยที่ ๒ ไม่สามารถชำระได้จำเลยที่ ๑ ยอมชำระแทนเป็นเงินไม่เกิน ๔ ล้านบาท  สัญญามีกำหนดตั้งแต่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๐๗  ถึง ๙ สิงหาคม ๒๕๐๘  การสร้างคานเรือดังกล่าว  จำเลยที่ ๒  ได้รับเงินค่าจ้างไปจากโจทก์ ๒๙ ล้านบาท  เฉพาะเงินงวดที่ ๕ นั้น  จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับแทน  จำเลยที่ ๒ ได้ขอขยายเวลาทำงานต่อไป  และโจทก์อนุมัติให้ ๑๓๖ วัน  ดังนั้น  จะต้องสร้างให้เสร็จภายใน ๒๙ ธันวาคม ๒๕๐๔  แต่จำเลยที่ ๒ ทำผิดสัญญา  จนถึงวันฟ้องก็ยังสร้างไม่เสร็จ  จึงต้องถูกปรับวันละ ๕,๐๐๐ บาท  รวม ๑,๓๑๐ วัน  เป็นเงิน ๖,๕๕๐,๐๐๐ บาท  ความเสียหายของโจทก์มากกว่า ๑ ล้าน ๕ แสนบาท  ที่จำเลยที่ ๒ ได้มัดจำไว้  โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายกับริบมัดจำ  ทั้งมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑ ล้าน ๕ แสนบาท  ตามสัญญาค้ำประกันฉบับแรก  เพื่อริบเป็นค่าเสียหาย  โจทก์เรียกร้องต่อจำเลยที่ ๒  จำเลยที่ ๒ เพิกเฉย  จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับ ๔ ล้านบาท  ตามสัญญาค้ำประกันฉบับหลัง  เพื่อให้ริบตามสัญญาและชดใช้ค่าเสียหาย  โจทก์เรียกร้องแล้วจำเลยที่ ๑ ก็เพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๕ ล้าน ๕ แสนบาท  กับดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้ว่า  จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา  และจำเลยที่ ๑ หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันแล้ว  โจทก์ควรฟ้องจำเลยที่ ๒  โดยตรงด้วย  จึงขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ ๒ เข้ามาเป็นจำเลยด้วย  ศาลอนุญาต
จำเลยที่ ๒  ให้การต่อสู้ว่า  จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา  แต่เป็นความผิดของโจทก์เอง
จำเลยร่วมทั้งสองร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย  โดยอ้างว่า  จำเลยที่ ๒ ได้จ้างเหมาช่วงให้จำเลยร่วมเป็นผู้ทำการสร้างคานเรือ  ตามสัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำกันไว้  ในการก่อสร้างนี้  จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๒  ต่อโจทก์  ถ้าจำเลยที่ ๑ แพ้คดี  จำเลยที่ ๑ ก็มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๒ ได้  และจำเลยร่วมทั้งสองอาจถูกไล่เบี้ยได้เช่นเดียวกัน  จึงมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนี้ ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๒  จำเลยร่วมที่ ๑  และจำเลยร่วมที่ ๒ ร่วมกันใช้เงิน ๑ ล้าน ๕ แสนบาทตามสัญญาค้ำประกันกับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ  และให้จำเลยที่ ๒  จำเลยร่วมที่ ๑  ที่ ๒  ร่วมกันใช้เงิน ๔ ล้านบาทฐานผิดสัญญารับเหมาก่อสร้าง  กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี  นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ  ในกรณีที่จำเลยที่ ๒  จำเลยร่วมที่ ๑  ที่ ๒  ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน  ก็ให้จำเลยที่ ๑ ใช้แทนในฐานะผู้ค้ำประกัน
จำเลยทั้งหมดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งหมดฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น  และวินิจฉัยว่า  โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีมูลกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒  ไม่ก่อสร้างคานเรือให้เสร็จตามสัญญาจ้างเหมาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒  ทำไว้ต่อกัน  และจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๒  โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้ใช้ค่าเสียหายตามสัญญาค้ำประกัน  จำเลยที่ ๑  ขอให้เรียกจำเลยที่ ๒  ผู้กระทำผิดสัญญาจ้างเหมาอันเป็นมูลกรณีเข้ามาในคดีด้วย  และศาลอนุญาตแล้ว  ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๒  ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้  แต่จำเลยร่วมทั้งสองนั้นร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยข้ออ้างว่าเป็นผู้รับเหมางานช่วงจากจำเลยที่ ๒ อีกทอดหนึ่ง  ถ้าจำเลยที่ ๑ แพ้คดี  จำเลยที่ ๑ ก็มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ ๒  และจำเลยร่วมทั้งสองก็อาจถูกไล่เบี้ยได้เช่นเดียวกัน  ดังนี้  ย่อมเห็นได้ว่า  ความผูกพันดังกล่าวเป็นนิติสัมพันธ์ในระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมด้วยกันเองโดยเฉพาะ  ระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมทั้งสองหาได้มีนิติสัมพันธ์กันแต่อย่างใดไม่  เมื่อจำเลยที่ ๑  และที่ ๒  แพ้คดี จะมีผลพลอยให้จำเลยร่วมทั้งสองต้องใช้ค่าเสียหายอันเกิดแต่นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ หาได้ไม่โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าตนถูกจำเลยร่วมทั้งสองโต้แย้งสิทธิของตน  แม้จำเลยร่วมทั้งสองจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยแล้ว
ข้อที่โจทก์กล่าวในคำแก้ฎีกาว่า  การที่พนักงานอัยการเป็นทนายให้รัฐ  (ซึ่งโจทก์คดีนี้เป็นองค์การรัฐวิสาหกิจ)  เมื่อรัฐบาลชนะคดี  ฝ่ายที่แพ้ก็ควรจะมีหน้าที่ใช้ค่าทนายแทนรัฐบาลด้วยนั้น  เห็นว่าค่าทนายความอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียม  ศาลจะพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีชดใช้ให้แก่ฝ่ายที่ชนะคดีหรือไม่เพียงใดนั้น  ย่อมเป็นเรื่องที่ศาลจะใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑  ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นสมควรให้ค่าทนายโจทก์คดีนี้เป็นพับนั้น  เป็นดุลพินิจของศาลล่าง  ศาลฎีกาไม่พึงแก้ไข
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์  เฉพาะในข้อที่ให้จำเลยร่วมที่ ๑  ที่ ๒  ร่วมใช้เงินแก่โจทก์ฐานผิดสัญญารับจ้างก่อสร้งและตามสัญญาค้ำประกันนั้นให้ยกเสีย  นอกนั้นคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้จำเลยที่ ๑  ที่ ๒  และจำเลยร่วมทั้งสองใช้ค่าทนายในชั้นฎีกาแทนโจทก์สามหมื่นบาทด้วย