โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๖๖ นายเกล้ากู้เงินจำเลย ๒๕๐ บาท มอบที่นาให้ทำต่างดอกเบี้ย เมื่อเดือน ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ นายเกล้าได้ให้โจทก์นำเงินไปชำระและขอรับนาคืน จำเลยปฏิเสธ จึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การต่อสู้ว่า การกู้เงินตามฟ้องเป็นหนี้คนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับหนี้เดิมและนารายพิพาทแต่อย่างใด ทั้งนายเกล้าได้ใช้จำเลยเสร็จแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาพะยานโจทก์ฝ่ายเดียวโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แล้วพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรับต้นเงิน ๒๕๐ บาท คืนนาพิพาทให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นารายพิพาทตกอยู่ในความครอบครองของจำเลย โดยกรมธรรม์สัญญาลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๖๒ ซึ่งทำต่ออำเภอท้องที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ในสัญญามีข้อกำหนดให้ลูกหนี้ (นายเกล้า) มอบที่นาให้เจ้าหนี้ (คือจำเลย) ยึดไว้เป็นประกันเงินกู้ และโจทก์ยอมรับว่า นายเกล้าได้มอบนาพิพาทให้จำเลยยึดไว้เป็นประกันทำกินต่างดอกเบี้ยตลอดมาจนบัดนี้ ตามแบบแห่งสัญญาซึ่งเป็นกรมธรรม์ อันมีข้อกำหนดและการปฏิบัติในระหว่างเจ้าหนี้ลูกหนี้ดังกล่าวนี้ มีลักษณะเป็นเช่นเดียวกับการขายฝาก ซึ่งต้องบังคับตามประกาศเรื่องจำนำและขายฝากที่ดิน ร.ศ. ๑๑๘ เพราะเป็นสัญญาที่ได้ทำและปฏิบัติกันอยู่ก่อนใช้ ป.ม.แพ่งฯ บรรพ ๓ เมื่อพ้น ๑๐ ปีแล้ว ผู้ขายฝากจะไถ่ถอนคืนไม่ได้.
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น