โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์กับจำเลยที่ ๑  ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่นาโฉนดที่ ๑๘  เนื้อที่ ๑๓ ไร่เศษ  ในราคาไร่ละ ๖๐๐ บาท  ในวันทำสัญญาโจทก์ชำระเงินให้จำเลยที่ ๑ ไป ๕,๒๐๐ บาท  เงินที่เหลือโจทก์จะชำระให้เสร็จภายใน พ.ศ. ๒๕๐๐  พร้อมกันนั้นจำเลยที่ ๑  จะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ราวเดือนตุลาคม ๒๕๐๐  โจทก์นำเงินที่ค้างงวดสุดท้ายไปชำระให้จำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๑ บอกว่าโฉนดอยู่ที่สหกรณ์  นำมาจดทะเบียนโอนให้โจทก์ไม่ได้  ต่อมาทราบว่าจำเลยที่ ๑เอาโฉนดไปจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ ๒  โดยเสน่หาและโดยสมรู้กัน  ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง  ให้จำเลยที่ ๑  รับเงินที่เหลือ ๒,๙๐๐ บาทจากโจทก์แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่ได้ทำหนังสือซื้อขายที่นาให้โจทก์ตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง  ความจริงเคยมีหนังสือสัญญารับเงินมัดจำว่าจะขายที่นารายนี้ ๑๙ ไร่เศษ  และราคาที่นาก็ตกลงกันว่าโจทก์ต้องซื้อเกินจำนวนเงินจำนองสหกรณ์โคกตูมอีกเป็นเงินไร่ละ ๖๐๐ บาท  ข้อตกลงดังกล่าวได้ให้นายผล  กำนันเป็นคนเขียนให้  ต่อมาโจทก์เห็นว่าราคานาแพงมาก  โจทก์ไม่มีเงินซื้อจึงขอเลิกสัญญามัดจำ  และได้ให้นายลอองมารับเงินมัดจำคืนไป  และได้ทำใบรับเงินให้จำเลยยึดถือ ๑ ฉบับ  เมื่อเลิกสัญญาแล้วจำเลยก็กลับเอานามาทำเอง ๒ ปีมาแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนจยกที่พิพาทให้กันระหว่างจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ ๑  ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์กับให้จำเลยรับเงิน ๒,๙๐๐ บาทจากโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า  ขณะที่จำเลยที่ ๑  ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์นั้น  ที่แปลงนี้ติดจำนองอยู่ ๑๒,๐๐๐ บาท  โจทก์อ้างว่า  จำเลยที่ ๑  ตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์ในราคาไร่ละ ๖๐๐ บาท  โดยจำเลยที่ ๑  จะต้องไปไถ่ถอนจำนองมาก่อน  ซึ่งหมายความว่าจำเลยที่ ๑  จะได้เงินค่าที่ดินจากโจทก์เพียง ๘,๑๐๐ บาท  แต่จำเลยที่ ๑  จะต้องออกเงินค่าไถ่ถอนก่อนมากกว่า ๑๒,๐๐๐ บาท  รวมทั้งดอกเบี้ยด้วย  จึงไม่น่าเชื่อและไร้เหตุผล
จำเลยที่ ๑ นำสืบว่าการตกลงจะขายที่พิพาทนี้  โจทก์จะต้องเป็นฝ่ายออกเงินไถ่จำนองนาแล้วจึงจะขายให้ในราคาไร่ละ ๖๐๐ บาท  ข้อนี้โจทก์อ้างเอกสาร หมาย จ. ๑ มายันว่า  จำเลยตกลงจะขายไร่ละ ๖๐๐ บาท เท่านั้น  เอกสารมีข้อความดังโจทก์อ้างจริง  แต่จำเลยที่ ๑ เถียงว่าก่อนทำเอกสาร จ. ๑  โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายกันไว้ฉบับหนึ่ง  โดยนายผลกำนันเป็นผู้เขียน  นายผลนี้โจทก์จำเลยอ้างเป็นพยานร่วมกัน  เบิกความสมคำจำเลยที่ ๑  ว่าสัญญาฉบับแรกนั้นมีข้อความว่าจะซื้อขายกันในราคาไร่ละ ๖๐๐ บาท  โดยผู้ซื้อจะต้องเป็นฝ่ายออกเงินไถ่จำนอง  สัญญานี้ทำขึ้นฉบับเดียวมอบให้โจทก์ไว้  ต่อมาโจทก์บอกว่าสัญญาหายเสียแล้ว  น่าเชื่อคำนายผลว่าเป็นความจริง  เมื่อเชื่อคำนายผลแล้ว  ก็ต้องฟังว่าสัญญาจะซื้อขายคือฉบับแรกที่นายผลเขียนขึ้น  ส่วนเอกสาร จ.๑  เป็นเพียงใบรับเงินมัดจำเท่านั้น  เอกสารฉบับนี้โจทก์เป็นผู้เขียนขึ้นโดยมิได้เขียนข้อความให้ครบถ้วนตามสัญญาเดิม  จำเลยนำสืบข้อความในสัญญาเดิมได้  ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔  เพราะใบรับเงินมัดจำมิได้เป็นเอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ
จำเลยนำสืบว่าโจทก์กับนายลออง  เป็นผู้ซื้อร่วมกัน  และในวันชำระเงินมัดจำ ๕,๒๐๐ บาทนั้น  นายลออง  เป็นผู้ชำระโดยบอกว่าเป็นเงินของนายลออง  ครั้นการซื้อขายไม่อาจทำสำเร็จได้เพราะโจทก์ไม่มีเงินไปไถ่จำนอง  จึงได้มีการเลิกสัญญากัน  และจำเลยที่ ๑  ได้คืนเงินมัดจำให้นายลอองไปตามใบรับหมาย ล.๑  ข้อความนี้น่าเชื่อว่าเป็นความจริงเช่นกัน
พิพากษากลับ  ให้ยกฟ้องโจทก์