โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่ ๑  เป็นนิติบุคคลและเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒  ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ว่าการเขตพระโขนง  โจทก์ได้จดทะเบียนสมรสโดยชอบกฎหมายกับนายศุภโยกต์  มาลิก  หรือ มาลิค  มีบุตรด้วยกัน ๒ คน  คือเด็กหญิงนภาเพ็ญ  กับเด็กหญิงศศิภา  ต่อมาเมื่อวันที่  ๑๘  มิถุนายน  ๒๕๑๘  โจทก์และนายศุภโยต์ได้ตกลงหย่ากันโดยความสมัครใจโดยโจทก์เป็นผู้อุปการะเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู และใช้อำนจปกครองบุตรทั้งสอง  ต่อมาโจทก์และนายศุภโยกต์ได้ตกลงกันเปลี่ยนชื่อสกุลบุตรทั้งสอง โดยเปลี่ยนจากมาลิก  หรือมาลิค  เป็น กฤดากร  ณ อยุธยา  ตามชื่อสกุลโจทก์  เมื่อวันที่   ๒๙  กรกฎาคม  ๒๕๒๐  โจทก์และนายศุภโยกต์ได้ร่วมกันยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๒  ขอแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านโดยขอเปลี่ยนชื่อสกุลจากมาลิกหรือมาลิคเป็นกฤษดากร  ณ อยุธยา  จำเลยที่ ๒  ไม่ยอมจัดการดำเนินการให้โดยอ้างว่าเป็นกรณีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๕๖๑  วรรค ๒   ไม่อาจเปลี่ยนชื่อสกุลบุตรทั้งสองให้ได้  โจทก์และนายศุภโยกต์ชี้แจงแล้ว  จำเลยที่ ๒  ก็ไม่ยอมจัดการแก้ไขให้  ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันจดทะเบียนแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านรายการในช่องชื่อสกุลจากเด็กหญิงนภาเพ็ญ  มาลิก หรือมาลิค  และเด็กหญิงศศิภา  มาลิก  หรือมาลิค  เป็นเด็กหญิงนภาเพ็ญ  กฤดากร  ณ อยุธยา  และเด็กหญิง ศศิภา  กฤดากร ณ อยุธยา  หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมจัดการให้  ให้ศาลมีคำสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า  โจทก์ไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงนภาเพ็ญ  และเด็กหญิงศศิภา  ไม่มีอำนาจฟ้อง ภายหลังการจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน  โจทก์และนายศุภโยกต์มิได้ตกลงกันให้โจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูและใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงทั้งสอง  โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เปลี่ยนชื่อสกุลของเด็กทั้งสองนั้นและไม่มีอำนาจฟ้อง  จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อสกุลเพราะเห็นว่าไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๕๖๑  วรรค ๒  การวินิจฉัยของจำเลยที่ ๒  ชอบด้วยเหตุผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ต่อมาทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับว่า  โจทก์ได้จดทะเบียนหย่ากับนายศุภโยกต์  และได้ทำหนังสือตกลงให้โจทก์เป็นผู้อุปการะและใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงนภาเพ็ญและเด็กหญิงศศิภาจริง มีอำนาจฟ้อง  และทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานสละประเด็นข้ออื่นทั้งสิ้น  ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว  พ.ศ. ๒๕๑๙  มาตรา ๑๕๖๑  บุตรจะใช้นามสกุล (น่าจะเป็นชื่อสกุล)  ของมารดาได้หรือไม่  เมื่อบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายยินยอมให้ใช้นามสกุลของมารดา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันแก้ทะเบียนบ้านในรายกาารชื่อสกุลของเด็กหญิงนภาเพ็ญและเด็กหญิงศศิภา  จากมาลิกหรือมาลิค  เป็นกฤดากร  ณ อยุธยา  ตามที่โจทก์ยื่นคำร้องไว้
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  บรรพ ๕ มาตรา ๑๕๖๑ ซึ่งให้ใช้บังคับโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ  บรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ให้ตรวจชำระใหม่  พ.ศ. ๒๕๑๙  มีความว่า "บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา" (วรรค ๑)   "ในกรณีที่บิดาไม่ปรากฏ บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดา" (วรรค ๒) เห็นได้ว่ามาตรานี้เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่บุตร  กล่าวคือให้บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา  และในกรณีที่ไม่ปรากฏว่าใครเป็นบิดาบุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดาได้มิได้บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา  เมื่อกฎหมายมิได้บังคับไว้  บุตรก็ชอบที่จะใช้ชื่อสกุลอื่นได้  แม้จะปรากฏว่ามีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก็ตาม  การที่นายศุภโยกต์ผู้เป็นบิดาและโจทก์ผู้เป็นมารดายินยอมพร้อมใจกันให้บุตรทั้งสองใช้ชื่อสกุลของมารดา  หากเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๕๖๑  วรรค ๒ ไม่
ข้อต่อมาจำเลยฎีกาว่า  ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าบุตรมีความประสงค์จะไม่ใช้นามสกุลของบิดาหรือต้องากรใช้นามสกุลของมารดา  โจทก์กระทำไปโดยไม่มีอำนาจโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ข้อที่จำเลยยกขึ้นฎีกานี้  จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้  ศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัยโดยเห็นว่าเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยประชาชน  ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่สมควรที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัย  จำเลยจึงได้ฎีกาขึ้นมา
ศาลฎีกาเห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน  สละประเด็นข้ออื่นทั้งสิ้นขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว   เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าบุตรทั้งสองไม่ต้องการใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือต้องการใช้ชื่อสกุลของมารดาหรือไม่  อันจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง  ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะยกขึ้นวินิจฉัยและอ้างเป็นเหตุยกฟ้อง
พิพากษายืน