ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า  นายชุนเอ๋งมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๘๐  ตำบลตะเคียน  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  เนื้อที่  ๑ งาน  ๘๘  ตารางวา  แต่ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์โดยปล่อยให้เป็นที่รกร้างจนประมาณปี ๒๔๘๐  นายหีดบิดานายมานิตสามีผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ปลูกต้นผลไม้ต่าง ๆ จนเต็มเนื้อที่  ปลูกบ้านอาศัยในที่ดินดังกล่าว  โดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  เมื่อประมาณ ๒๒ ปีมาแล้ว นายหีดถึงแก่กรรม  ผู้ร้องและนายมานิตได้ครอบครองสืบต่อมาจากนายหีตโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา  ไม่มีผู้ใดรบกวนหรือคัดค้านหรือโต้แย้งกรรมสิทธิ์  นายมานิตถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๑๗  จึงขอใหมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามกฎหมาย
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่านายชุนเอ๋งบิดาผู้คัดค้านได้ยึดถือที่ดินดังกล่าวอย่างเป็นเจ้าของติดต่อมากันมาจนถึงแก่กรรม  แล้วผู้คัดค้านได้ยึดถือย่างเป็นเจ้าของสืบต่อมาจนบัดนี้  ผู้คัดค้านเคยยื่นคำร้องขอจัดการมรดกที่ดินแปลงนี้ ไม่มีผู้ใดคัดค้าน  ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก  ก่อนผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้  นายเลียบได้มาเจรจากับผู้คัดค้านแต่ผู้คัดค้านไม่ยอมแบ่งที่ดินให้ผู้ร้องหรือให้ใครเช่า  ผู้ร้องยื่นคำร้องโดยไม่สุจริต  ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า  ที่ดินโฉนดที่ ๑๐๘๐  ตำบลตะเคียน  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๓๘๒ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลามากว่า ๑๐ ปีแล้ว   ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครอง  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๓๘๒  และวินิจฉัยว่าที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าการครอบครองปกปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๓๘๒  ผู้ครอบครองต้องทราบมาก่อนว่าที่ดินนั้นเป็นที่ดินมีโฉนด  คดีนี้ผู้ร้องไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน  จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ในที่พิพาทนั้น  เห็นว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติได้ดังผู้คัดค้านอ้าง  ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน