คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากโรงมหรสพและศูนย์การค้าพิพาท กับขอให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากโรงมหรสพและศูนย์การค้าพิพาท จำเลยทั้งสองให้การว่าโรงมหรสพและศูนย์การค้าพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณา โดยขอให้ศาลตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์พิพาทและนำเงินรายได้ทั้งหมดมาวางไว้ต่อศาล กับห้ามจำเลยโอนยักย้ายทรัพย์พิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งตั้งให้นายมนัส อมรพิมลเป็นผู้จัดการทรัพย์พิพาท ให้นำเงินที่ได้จากกิจการมาวางศาลทุกเดือนห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์พิพาท จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะฟ้องของโจทก์ที่ยื่นต่อศาลนั้นศาลชั้นต้นยังมิได้รับไว้พิจารณาจนกว่าโจทก์จะนำค่าขึ้นศาลมาวางศาลตามระยะเวลาที่ศาลกำหนด เมื่อโจทก์ยังไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลให้ถูกต้องตามกฎหมายและตามคำสั่งศาล ศาลจึงรับคำร้องและไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ระหว่างพิจารณาไม่ได้นั้นเห็นว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากทรัพย์พิพาท และส่งมอบทรัพย์พิพาทแก่โจทก์ โดยเสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ศาลชั้นต้นได้สั่งรับฟ้องของโจทก์แล้ว แม้จำเลยทั้งสองให้การว่าคดีที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีมีทุนทรัพย์ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลที่ยังขาดอยู่ก่อนหรือในวันสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจรับคำร้องและไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ระหว่างพิจารณาก่อนโจทก์นำค่าขึ้นศาลที่ยังขาดอยู่มาวางศาลให้ครบถ้วนตามคำสั่งศาลได้เพราะศาลชั้นต้นได้รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาตั้งแต่วันที่โจทก์ยื่นฟ้องแล้ว คำสั่งศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน