ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องขอให้บังคับตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลไทรใหญ่โดยให้สัญญาเช่านาระหว่างผู้ร้องทั้งสามกับผู้คัดค้านสิ้นสุดปี 2560 ให้ผู้คัดค้านขนย้ายทรัพย์สินและบริวารพร้อมกับรื้อถอนบ้านเลขที่ 40 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5313 ของผู้ร้องทั้งสาม และให้ส่งมอบที่ดินให้แก่ผู้ร้องทั้งสามในสภาพเรียบร้อย หากผู้คัดค้านไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ให้ผู้ร้องทั้งสามมีสิทธิจ้างบุคคลภายนอกรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้โดยให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน กับห้ามมิให้ผู้คัดค้านและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลไทรใหญ่ โดยให้ผู้คัดค้านกับบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5313 และส่งมอบที่นาพิพาทคืนแก่ผู้ร้องทั้งสามในสภาพเรียบร้อย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลไทรใหญ่ที่ให้ระยะเวลาการเช่านาโฉนดเลขที่ 5313 สิ้นสุดปี 2560 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 5313 ผู้คัดค้านเช่าที่ดินพิพาททำนาและปลูกบ้านเลขที่ 40 อยู่บนที่ดินพาท โดยไม่ได้ทำสัญญาเช่าและกำหนดระยะเวลาเช่ากันไว้ วันที่ 8 ตุลาคม 2558 ผู้ร้องทั้งสามฟ้องขับไล่ผู้คัดค้านตามคดีหมายเลขดำที่ ม.109/2558 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากผู้ร้องทั้งสามผู้ให้เช่านามิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 34 ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้คัดค้าน ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ผู้ร้องทั้งสามได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าที่นาพิพาทพร้อมแสดงเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่านาไปยังผู้คัดค้านตามหนังสือบอกเลิกการเช่านาลงวันที่ 4 ธันวาคม 2558 และส่งสำเนาหนังสือบอกเลิกการเช่าดังกล่าวไปยังคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลไทรใหญ่ ประธานคณะกรรมการฯ ได้ออกหนังสือเชิญประชุมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และลงมติเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2560 วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านเช่านาพิพาทของผู้ร้องทั้งสามทำนาตั้งแต่ปี 2524 โดยนับระยะเวลาคราวละ 6 ปี คือปี 2524 ถึงปี 2530 ปี 2531 ถึงปี 2536 ปี 2537 ถึงปี 2542 ปี 2543 ถึงปี 2548 ปี 2549 ถึงปี 2554 และปี 2555 ถึงปี 2560 ระยะเวลาการเช่านาจะสิ้นสุดปี 2560 ผู้คัดค้านทราบแล้ว ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ จึงเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 56 วรรคสอง วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ผู้ร้องทั้งสามมีหนังสือแจ้งให้ผู้คัดค้านออกไปจากที่นาพิพาทวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องขอให้บังคับตามคำวินิจฉัยคณะกรรมการฯ และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561 ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสามได้ยื่นคำฟ้องผู้คัดค้านเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ม.109/2558 ของศาลชั้นต้น ให้ขับไล่ผู้คัดค้าน คดีดังกล่าวปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านเช่านาตั้งแต่ปี 2522 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าสัญญาเช่านายังไม่เลิกกัน ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1764/2560 ของศาลอุทธรณ์ภาค 1 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องทั้งสามไม่เคยบอกเลิกสัญญาและทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ระยะเวลาการเช่าที่ดินทำนาของผู้คัดค้านยังมีระยะเวลาอยู่อีกหลายปีนับแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2560 ซึ่งศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีดังกล่าว ตามคำคัดค้านผู้คัดค้านอ้างว่า ระยะเวลาเช่าต้องเริ่มนับแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2560 รูปคดีไม่มีประเด็นว่าผู้ร้องทั้งสามเริ่มให้ผู้คัดค้านเช่าที่ดินพิพาทตั้งแต่เมื่อใด ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้คัดค้านเช่าที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2522 จึงนอกจากคำให้การไม่เป็นประเด็นแห่งคดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อผู้คัดค้านไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ จึงเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 56 วรรคสอง ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้บังคับผู้คัดค้านปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2560 ได้ตามมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้บังคับตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ ที่ให้ระยะเวลาการเช่านาโฉนดเลขที่ 5313 สิ้นสุดปี 2560 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องขอให้บังคับผู้คัดค้านขนย้ายทรัพย์สินและบริวารพร้อมกับรื้อถอนบ้านเลขที่ 40 ออกไปจากที่นาพิพาท จึงเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) และเมื่อผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านจึงเป็นคดีมีข้อพิพาท หาใช่ผู้ร้องทั้งสามมิได้ฟ้องขอให้บังคับขับไล่และรื้อถอน คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงมิได้วินิจฉัยตามคำฟ้องของผู้ร้องทั้งสามทุกข้อ ไม่ชอบด้วยมาตรา 142 เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรยกขึ้นวินิจฉัยตามมาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) โดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยใหม่ ซึ่งเมื่อสัญญาเช่านาพิพาทสิ้นสุดลงแล้ว ผู้คัดค้านย่อมไม่มีสิทธิอยู่ในที่นาพิพาทของผู้ร้องทั้งสามต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ