(คดีทั้งสองนี้เรียกฝ่ายนางชุ้นเป็นโจทก์ฝ่ายนายเพี้ยนเป็นจำเลย).
โจทก์ฟ้องให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่มีโฉนดของโจทก์ จำเลยกลับฟ้องแย้งอ้างการได้สิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์.
คู่ความรับกันว่า ที่ดินของโจทก์จำเลยอยู่ติดต่อกัน ที่ของโจทก์เดิมเป็นของนายจุ๊ม ฯลฯ นายจุ๊มขายฝากโจทก์ไว้เมื่อวันที่ ๒/๔/๒๔๖๘ ต่อมาได้แก้ทะเบียนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เมื่อวันที่ ๓๐/๖/๒๔๘๑ ส่วนที่ของจำเลยเดิมเป็นที่ของนางไฮ้ ๆ ขายให้จำเลยเมื่อวันที่ ๑๙/๑๒/๒๔๗๑ ครั้นวันที่ ๙/๓/๒๔๘๑ จำเลยที่ ๑ จึงยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่วิวาทอยู่ในเขตต์โฉนดของโจทก์และอยู่ติดต่อกับที่ของจำเลย.
ศาลชั้นต้นฟังว่านางไฮ้และจำเลยครอบครองเองเป็นเจ้าของมาถึง ๒๐ ปีเศษ โจทก์ทราบดีตั้งแต่ก่อนรับซื้อฝากและรับซื้อฝากที่ดินจากจุ๊ม ฯลฯ เจ้าของเดิมทั้ง ๆ ที่รู้ดังนี้ได้ชื่อว่าได้นิทธิ์มาโดยไม่สุจจริต จึงพิพากษาให้ที่วิวาทเป็นของจำเลย.
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยครอบครองที่วิวาทสืบเนื่องมาจากนางไฮ้รวมกันได้ถึง ๒๐ ปีเศษ นางไฮ้ขายที่ของนางไฮ้ให้จำเลยแล้วทั้งได้โอนการครอบครองที่วิวาทนี้ให้ด้วย และการบุกรุกได้มีมาก่อนที่โจทก์รับซื้อฝาก จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ พิพากษายืน.
โจทก์ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยแต่ข้อกฎหมาย เพราะคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเห็นว่าจำเลยได้ยกข้ออายุความขึ้นต่อสู้แล้วและข้อที่โจทก์ว่าพึ่งได้กรรมสิทธิ์เมื่อรับโอนจึงไม่หมดสิทธิ์จะฟ้องนั้นข้อนี้เห็นว่า นางไฮ้และจำเลยได้บุกรุกมาก่อนโจทก์ซื้อฝาก แลโดยอายุความ ๑๐ ปีก็ก่อนโจทก์รับโอนฎีกาของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง.