โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาประกันตัวนางนิตตรียา หงษ์สกุลผู้ต้องหาซึ่งถูกจับและอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานสถานีตำรวจนครบาลลุมพินีโดยสัญญาจะส่งตัวตามนัด ถ้าผิดสัญญาจำเลยยอมใช้เงิน๔๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาตามนัดได้ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๐๖ซึ่งเป็นวันกำหนดให้จำเลยส่งตัวผู้ต้องหาครั้งสุดท้าย
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ผิดสัญญาประกัน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย นางนิตตรียาผู้ต้องหากับผู้เสียหายยอมความกันแล้ว ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิด
จำเลยขอให้เรียกนางนิตตรียา ร้อยเอกชาญ เชี่ยวเวช และนายธีระ เชี่ยวชาญพาณิชย์ เข้าเป็นจำเลยร่วม อ้างว่าถ้าจำเลยแพ้คดีต้องใช้เงินแก่โจทก์ จำเลยมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ย ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องว่าบุคคลดังกล่าวไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยผิดสัญญาประกันแต่จำเลยนำตัวผู้ต้องหามาส่งภายหลัง ควรลดค่าปรับเหลือเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๑๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๐๖จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะดอกเบี้ยให้จำเลยใช้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยผิดสัญญาประกันไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามนัด และมีหน้าที่ต้องใช้เงินตามสัญญา ไม่จำเป็นที่พนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งว่าจำเลยผิดสัญญา การผิดสัญญาหรือไม่อยู่ที่การปฏิบัติของจำเลยกับข้อความในสัญญานั้น
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องและนำสืบว่า เสียหายอย่างไร จำเลยได้นำตัวผู้ต้องหาส่งโจทก์แล้ว คดียอมความกันแล้วไม่มีการเสียหายอะไร ไม่ชอบที่ศาลจะให้ปรับจำเลยถึง ๑๐,๐๐๐ บาทกับให้ใช้ดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความเสียหายในเรื่องนี้เป็นเบี้ยปรับที่จำเลยผิดสัญญาประกัน เมื่อนายประกันมิได้ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนด ก็เป็นการผิดสัญญาแล้ว การนำตัวผู้ต้องหามาส่งภายหลังก็ดี หรือคดีนั้นจะมีการสั่งไม่ฟ้อง หรือผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ก็หาทำให้นายประกันพ้นความรับผิดตามสัญญาประกันไม่การนำตัวผู้ต้องหามาส่งภายหลังหรือมีการตกลงเลิกคดีโดยผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ย่อมเป็นเหตุใช้ดุลพินิจว่าควรปรับมากน้อยเท่าใดเท่านั้น เทียบฎีกาที่ ๑๐๗๒/๒๔๙๑ เฉพาะคดีนี้ที่ศาลล่างกำหนดค่าปรับนายประกันมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรแก้ไข
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า พันตำรวจตรีสำเนา ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องเพราะพันตำรวจตรีรณชัยลงชื่อเป็นคู่สัญญา และไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์ทั้งพนักงานสอบสวนก็ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพนักงานสอบสวนมีหน้าที่รับคำร้องขอประกันผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมอยู่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล และเป็นผู้พิจารณาสั่งคำร้อง แล้วให้ผู้ร้องทำสัญญาประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๐๖,๑๐๗, ๑๑๒ และ ๑๑๓ พนักงานสอบสวนจึงเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ย่อมเป็นโจทก์ฟ้องคดีได้ ตามฎีกาที่ ๗๐๑/๒๔๙๘พันตำรวจตรีรณชัย และพันตำรวจตรีสำเนา เป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี คนหนึ่งลงชื่อเป็นผู้รับสัญญาประกัน อีกคนหนึ่งเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาประกัน ต่างทำในตำแหน่งหน้าที่พนักงานสอบสวน เป็นการกระทำของบุคคลในตำแหน่งหน้าที่เดียวนั่นเองไม่ใช่ทำแทนกัน และหน้าที่ปฏิบัติดังกล่าวเป็นอำนาจของตำแหน่งหน้าที่ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ ฟ้องคดีนี้ระบุตำแหน่งหน้าที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี และระบุนามพันตำรวจตรีสำเนาเป็นคู่ความย่อมฟ้องได้ตามฎีกาที่ ๒๑๐๖-๒๑๐๘/๒๔๙๒
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่เสียหายอะไรนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพนักงานสอบสวนจะต้องสอบสวนผู้ต้องหาส่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ให้ปล่อยผู้ต้องหาตามหน้าที่ในกฎหมายเมื่อจำเลยผู้ประกันไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้ตามกำหนด ก็ขัดข้องทำงานไม่ได้ ย่อมเสียหายต่อราชการ เงินที่กำหนดให้จำเลยใช้เป็นเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๐, ๓๘๑ จำเลยมีหน้าที่ชำระเบี้ยปรับ แล้วไม่ชำระเป็นการผิดนัดก็ต้องเสียดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๒๔
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าศาลควรเรียกนางนิตตรียา ร้อยเอกชาญ และนายธีระเข้ามาเป็นคู่ความ อ้างว่าคนทั้งสามมีส่วนได้เสียร่วมกับจำเลย ซึ่งจำเลยอาจจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเมื่อจำเลยต้องรับผิดใช้เงินตามสัญญาประกันนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บุคคลทั้งสามไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ ร้อยเอกชาญและนายธีระไม่เกี่ยวกับการผิดสัญญาของจำเลยหากจำเลยต้องเสียหายอย่างไรก็ชอบที่จะเรียกร้องจากคนทั้งสามในภายหลัง ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกเข้ามาร่วมเป็นคู่ความในชั้นนี้
พิพากษายืน