โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2547 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยใช้มีดดาบเป็นอาวุธฟันที่ศีรษะของนายสุวรรณ ผู้เสียหายอย่างแรง 1 ครั้ง โดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากมีผู้เข้าห้ามปรามและผู้เสียหายวิ่งหลบหนี ประกอบกับผู้เสียหายได้รับการรักษาจากแพทย์ทันท่วงที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลหนองนกทา อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ให้จำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ให้จำคุก 10 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันเกิดเหตุที่ 22 ตุลาคม 2547 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะที่นายสุวรรณ ผู้เสียหายนอนอยู่ที่บ้านของนายประคอง ซึ่งเป็นพ่อตาของผู้เสียหาย จำเลยได้ไปเรียกผู้เสียหาย นายประคองปลุกผู้เสียหายให้ไปพบจำเลย จำเลยถามหานายปั๊ก ผู้เสียหายบอกว่าไม่เห็น ขณะนั้นพวกของจำเลยหลายคนยืนรออยู่ที่ถนน ผู้เสียหายปวดปัสสาวะจึงหันหลังให้จำเลยและยืนปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะเสร็จ ผู้เสียหายหันกลับมา เป็นจังหวะเดียวกับที่จำเลยใช้มีดสปาต้ายาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่ศีรษะด้านขวาของผู้เสียหายผู้เสียหายถูกฟันแล้ววิ่งหนีไปทางทิศเหนือของบ้านและร้องขอให้นายประคองเอาอาวุธปืนมายิงจำเลย จำเลยวิ่งตามไปประมาณ 2 ถึง 3 ก้าวแล้วหันกลับไปที่ถนน ผู้เสียหายวิ่งอ้อมกลับมาที่ใต้ถุนบ้าน นายประคองกับนางดวงตา พ่อตาแม่ยายของผู้เสียหายพาผู้เสียหายไปส่งโรงพยาบาลอำเภอเขมราฐ แพทย์โรงพยาบาลอำเภอเขมราฐเย็บบาดแผลแล้วเกรงว่าจะไม่ดีพอจึงส่งตัวผู้เสียหายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์แพทย์ตรวจสอบแผลแล้วลงความเห็นว่าน่าจะรักษาให้หายภายใน 2 สัปดาห์ ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผล มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย โดยจำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น เห็นว่า ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า ก่อนที่จำเลยจะใช้มีดสปาต้าฟันผู้เสียหายนั้นผู้เสียหายยืนปัสสาวะโดยยืนหันหลังให้จำเลย ที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายเป็นเวลาเดียวกับที่ผู้เสียหายหันกลับมาทางจำเลย คมมีดถูกด้านข้างศีรษะของผู้เสียหาย แสดงว่าขณะที่จำเลยกำลังฟัน ผู้เสียหายยังหันหลังอยู่ จำเลยมีโอกาสที่จะเลือกฟันอวัยวะส่วนใดของผู้เสียหายก็ได้ เมื่อจำเลยเลือกฟันที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายทั้งอาวุธที่ใช้เป็นมีดสปาต้าขนาดยาวประมาณ 1 ศอก จัดว่าเป็นอาวุธมีดขนาดใหญ่ตามรายงานของนายแพทย์อาทิตย์พงษ์ ที่ได้ทำการตรวจบาดแผลของผู้เสียหายปรากฏว่าบาดแผลของผู้เสียหายลึกถึงกระดูก ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีเลือดออกมาก เส้นเลือดแดงขาด บาดแผลเป็นเส้นโค้งครึ่งวงกลม เย็บแผลแล้วไม่มีเลือดออกเพิ่มแสดงว่าจำเลยฟันผู้เสียหายโดยแรง ที่จำเลยอ้างว่าฟันเพียงครั้งเดียวก็เพราะผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยวิ่งตามไปอีก 2 ถึง 3 ก้าว แต่จำเลยก็ต้องหันหลังกลับเพราะผู้เสียหายร้องเรียกให้นายประคองเอาอาวุธปืนมายิงจำเลย การที่จำเลยใช้มีดสปาต้าขนาดใหญ่ถึง 1 ศอก ฟันผู้เสียหายโดยแรงที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ขณะที่ผู้เสียหายหันหลังเช่นนี้จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเพียงมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้นฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว"
พิพากษายืน