คดีเรื่องนี้มีปัญหามาสู่ศาลฎีกาฉะเพาะเรื่องผิดสัญญาประกันได้ความว่า นายจันทร์กับพวกได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวจำเลยทั้งสองคนไป ในสัญญาประกันข้อสองมีข้อความว่า "ในระหว่างประกันนี้ ถ้าจำเลยหลบหนีหาย ศาลจะเอาตัวมาพิจารณาบังคับบัญชาไม่ได้เมื่อใด ข้าพเจ้ายอมรับผิดใช้เงินเป็นจำนวน ๒๐๐๐ บาททดแทนให้แก่ศาลจนครบ" ครั้นถึงวันนัด จำเลยทั้งสองไม่มาศาล นายประกันจึงยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาไป ๑๕ วัน เพื่อตามตัวจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งถอนประกันหมายจับจำเลย และให้เลื่อนคดีไป ต่อมานายประกันนำตัวจำเลยทั้งสองมาศาล ได้ความว่า เหตุที่จำเลยทั้งสองขาดนัด เป็นเพราะนายเป้าจำเลยเป็นไข้จับสั่นมีอาการมาก ไม่สามารถมาศาลได้ ส่วนนายประเสริฐจำเลยคุมล้อวัวไปค้าขายทางจังหวัดตาก ซึ่งตามปรกติจะกลับได้ทันวันนัด แต่บังเอิญวัวเทียมล้อหายในระหว่างทาง ต้องติดตามอยู่ จึงกลับไม่ทันวันนัด
ได้ความดังนี้ ศาลชั้นต้นใช้ดุลย์พินิจ, ปรับกรณีนายเป้า ๑๐๐ บาท, นายประเสริ, ๑๐๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ปรับนายประกันเสีย
โจทก์ฎีกา, ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องจำเลยขาดนัดเช่นนี้จะปรับนายประกันตามสัญญาข้อ ๒ ได้หรือไม่ ก็สุดแล้วแต่ว่าการขาดนัดนั้นได้เป็นไปโดยจำเป็นหรือไม่ ถ้าปรากฎว่าจำเลยคงมีตัวอยู่ ไม่ได้หลบหนีแต่ไม่มาศาลตามนัด ก็ฟังได้ว่าหลบหนีศาล เป็นเหตุให้ศาลเอาตัวมาพิจารณาบังคับบัญชาไม่ได้ซึ่งนายประกันจะต้องรับผิดตามสัญญาข้อสอง แต่ถ้าการขาดนัดนั้นเป็นไปโดยเหตุจำเป็น แม้จำเลยหรือนายประกันจุไม่ได้แจ้งให้ศาลทราบ ก็เป็นแต่ไม่ปฏิบัติตามที่ควร ซึ่งอาจเป็นผลร้ายแก่จำเลย เช่นถูกศาลถอนประกันเสียเป็นต้น แต่จะถือว่าหลบหนียังไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็น จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์