โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ นายหยิน  เต็กกิ้ม  ได้จับจองที่ดิน ๑ แปลง อยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลกระบี่ใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่  ได้ปลูกเรือนทำประโยชน์  และได้แจ้ง ส.ค.๑ แล้ว  เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑  นายหยินตาย  นายบุญบุตรได้รับมรดกและขอรับรองการทำประโยชน์แล้วโอนขายให้โจทก์เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๒  ปลาย พ.ศ.๒๕๐๙  ได้มีเจ้าพนักงานกรมป่าไม้ภายใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ บุกรุกรังวัดสอบเขตทับที่ดินของโจทก์ทั้งแปลง  เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๔๙๖  จำเลยที่ ๑ ได้ออกประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย  อำเภอเมืองกระบี่  จังหวัดกระบี่  เป็นป่าคุ้มครอง  แต่ปรากฏว่าแนวเขตในแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นผิดพลาด โดยรุกล้ำไปทับที่ดินของราษฎรในท้องที่ตำบลทับปริกและตำบลกระบี่ใหญ่ซึ่งอยู่นอกท้องที่ตำบลกระบี่น้อยเป็นผลให้ที่ดินของโจทก์ถูกคุ้มครองติดแผนที่ท้ายพะราชกฤษฎีกาดังกล่าวไปด้วยทั้งนี้ด้วยความจงใจประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยทั้งสอง  และปรากฏว่ามิได้มีการปิดประกาศโฆษณาให้เจ้าของที่ดินในท้องที่ตำบลทับปริกและตำบลกระบี่ใหญ่ทราบ  ฉะนั้นที่ดินนอกตำบลตามพระราชกฤษฎีกาจึงไม่เป็นป่าคุ้มครองตามกฎหมาย  แม้ต่อมาจะมีพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ  พ.ศ.๒๕๐๗  กำหนดให้ป่าคุ้มครองซึ่งมีมาก่อนเป็นป่าสงวนแห่งชาติก็ไม่มีผลบังคับ  ขอให้ศาลพิพากษาว่าพระราชกฤษฎีกาคุ้มครองสงวนป่าไสโป๊ะ  มาตรา ๓ ส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในท้องที่ตำบลทับปริก  ตำบลกระบี่ใหญ่ และทับที่ดินของโจทก์นั้นผิดกฎหมาย  ห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้ารังวัดสอบเขตทับที่ดินของโจทก์และมิให้เกี่ยวข้องขัดขวางการใช้สิทธิครอบครองของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า นายยิ้น  เต็กกิ้ม  ได้บุกรุกยึดถือที่พิพาทโดยพลการ  ที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกา  กำหนดป่าไสโป๊ะฯ ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ.๒๔๙๖  และอยู่ภายในแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา  ได้มีการสำรวจและออกประกาศให้ทราบแล้ว  ไม่มีผู้ใดคัดค้าน  นายยิ้นยื่น ส.ค.๑ โดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิในที่พิพาท  หนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่เจ้าพนักงานออกให้นายบุญ  ออกให้ไม่ชอบและไม่สุจริต  นายยิ้น  นายบุญและโจทก์ต่างก็ทราบว่าที่พิพาทเป็นป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกา  จึงไม่มีสิทธิอย่างใด  จำเลยทั้งสองและเจ้าหน้าที่มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อกลั่นแกล้งโจทก์  โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งตามคำขอ  เพราะเป็นผลให้ยกเลิกเพิกถอนกฎหมาย  เจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองเพียงแต่ตรวจสอบเขตตามแนวแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น  มิได้โต้แย้งสิทธิรบกวนสิทธิหรือทุจริตกลั่นแกล้งโจทก์  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย  โจทก์นำคดีมาสู่ศาลโดยไม่สุจริต  ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า  พราะราชกฤษฎีกากำหนดป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ.๒๔๙๖  ไม่มีผลบังคับให้ที่พิพาทของโจทก์เป็นป่าคุ้มครองและเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗  ห้ามจำเลยและบริวารเข้ารังวัดสอบเขตและห้ามเกี่ยวข้องขัดขวางการใช้สิทธิครอบครองของโจทก์  คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า  ที่พิพาทอยู่ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย  อำเภอกระบี่น้อย  จังหวัดกระบี่ ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ.๒๔๙๖  ขณะเจ้าพนักงานป่าไม้สำรวจเพื่อออกพระราชกฤษฎีกาให้เป็นป่าคุ้มครอง  ยังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของที่พิพาท  เจ้าพนักงานได้ประกาศและชี้แจงให้ราษฎรในท้องที่ตำบลกระบี่ใหญ่ทราบแล้ว  นายยิ้นเพิ่งเข้าครอบครองหลังจากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว
ที่โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทอยู่ในท้องที่ตำบลกระบี่ใหญ่  แต่ตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวกำหนดเฉพาะป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อยเท่านั้นให้เป็นป่าคุ้มครอง  ฉะนั้นที่พิพาทจึงอยู่นอกเขตป่าคุ้มครองนั้น  ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จะวินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย  อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่  ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ.๒๔๙๖  หรือไม่นั้น  จะต้องพิจารณาจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นประกอบด้วย  เพราะมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวบัญญัติว่า "ให้ป่าไสโป๊ะในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้เป็นป่าคุ้มครอง"  ฉะนั้นจะพิจารณาแต่เพียงท้องที่ตำบลกระบี่น้อยอย่างเดียวเท่านั้นหาถูกต้องไม่   เพราะการจะรู้ว่าป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีอาณาเขตกว้างยาวมากน้อยเพียงใดก็ต้องดูจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานั้น หากดูแต่ชื่อตำบลอย่างเดียวจะทราบได้อย่างไรว่าป่าคุ้มครองที่กำหนดนั้นมีอาณาเขตกว้างยาวเพียงใด  ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
ที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์อันเป็นเอกสารมหาชน ต้องถือว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงและถูกต้อง  แสดงว่าที่พิพาทมิได้อยู่ในเขตป่าคุ้มครองนั้น  ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าคุ้มครอง  ฉะนั้นแม้ที่พิพาทจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แต่ก็ได้หนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นมาใน พ.ศ.๒๕๐๒  หลังจากที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าไสโป๊ะเป็นป่าคุ้มครองแล้ว  ฉะนั้นหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นจึงหามีผลให้โจทก์ได้สิทธิอย่างใดในที่พิพาทยันต่อแผ่นดินได้ไม่  ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์นี้ได้มาโดยชอบเพียงใดหรือไม่
พิพากษายืน