โจทก์ฟ้องว่าที่ดินเป็นของนางอุ่ม ๆ ตาย นายแจ่มน้องจำเลยได้รับมรดกปกครองและจดทะเบียนถือกรรมสิทธิ์ต่อมา ต่อมานายแจ่มได้จดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ ในขณะซื้อขายจำเลยปลูกเรือนอาศัยอยู่ในที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่เศษบัดนี้จำเลยจะโกงเอาที่พิพาทนั้นเสีย จึงขอให้ขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยครอบครองมากว่า 40 ปีแล้ว นายแจ่มรับมรดกเฉพาะที่นาไม่เกี่ยวกับที่พิพาทนี้ และที่นายแจ่มขายก็เฉพาะที่นาคดีโจทก์ขาดอายุความ
เมื่อทำแผนที่วิวาทแล้วคู่ความรับกันว่าที่พิพาทมีเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 40 วา อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์นายแจ่มได้โอนโฉนดให้โจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาโดยไม่สุจริต ไม่มีประเด็นจะนำสืบ พิพากษาให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องชัดแล้วว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริต จำเลยมิได้โต้เถียงว่าโจทก์รับโอนมาโดยไม่สุจริต ไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบเรื่องสุจริต ฉะนั้นข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าครอบครองมากว่า 40 ปีแล้วแม้จะนำสืบได้ก็ไม่มีทางจะชนะคดี เพราะสิทธิของจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนจะใช้ยันโจทก์ซึ่งซื้อที่พิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิของตนไว้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 ไม่ได้ อนึ่งโจทก์ฟ้องเรียกที่ดิน 2 ไร่เศษแม้ปรากฏต่อมาว่าที่พิพาทมีเนื้อที่ 4 ไร่เศษก็ตามศาลฎีกาก็เห็นว่าโจทก์กล่าวในฟ้องเป็นเพียงการประมาณ เมื่อนำแผนที่วิวาทคู่ความรับกันแล้วว่าที่พิพาทมี 4 ไร่เศษและศาลฎีกาได้สั่งให้เรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นแล้ว ศาลย่อมพิพากษาถึงเนื้อที่ทั้ง 4 ไร่เศษได้ คดีไม่จำต้องสืบพยานต่อไป พิพากษากลับให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น