โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ และชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่ตกลงแบ่งให้โจทก์นั้น  หมายความว่าทางโจทก์มีสิทธิครอบครองอยู่จริง ๆ เท่านั้นจึงจะแบ่งให้  โจทก์มิได้มีสิทธิครอบครองและสัญญาดังกล่าวหมดข้อผูกพันแล้ว  ขอให้ยกฟ้อง
ชั้นชี้สองสถาน  จำเลยแถลงรับว่ามีสัญญาประนีประนอมยอมความริงติดใจเพียงปัญหาว่าจำเลยไม่ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และข้อค่าเสียหายศาลชั้นต้นจึงกำหนดประเด็นพิพาทว่า (๑) มีข้อตกลงภายหลังเป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่  (๒) ค่าเสียหายเพียงใดให้จำเลยนำสืบก่อน
ก่อนสืบพยานนายกระสินธุ์  คินันท์  กับพวกรวม ๖ คน ยื่นคำร้องสอดอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทร่วมกับจำเลย  จำเลยไม่มีอำนาจเอาที่พิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งปันกันไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อยังให้ได้รับรองคุ้มครองสิทธิ  ผู้ร้องทั้ง ๖ จึงร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้นายกระสินธุ์  คินันท์  กับพวกรวม ๖ คนเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ได้  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๒)  จำเลยร่วมทั้ง ๖ แถลงขอใช้คำให้การ บัญชีพยาน และถือตามประเด็นที่ศาลได้ชี้ไว้แล้วทุกอย่าง
ระหว่างสืบพยาน  นางทวีทรัพย์  คุณาวุฒิ  โดยนายสงุ่น  สมบูรณ์ทรัพย์ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำร้องว่าที่ดินที่พิพาทตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและจำเลยไม่มีอำนาจนำที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์  สัญญาไม่มีผลบังคับจำเลย  เพื่อยังให้ได้รับการรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่ผู้ร้องมีอยู่  จึงร้องสอดขอเข้ามาเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑)  แต่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางทวีทรัพย์ผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งง มาตรา ๕๗ (๒) ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกยากระสินธุ์  คินันท์  กับพวกรวม ๖ คนว่าจำเลยร่วมที่ ๑ ถึงที่ ๖ ตามลำดับ  เรียกนางทวีทรัพย์  คุณาวุฒิ  ว่าจำเลยร่วมที่ ๗
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยไม่ได้ตกลงถือเอาความเห็นของ ก.ด.ป. ให้เป็นสัญญาลบล้างสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น  จึงพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งเจ็ดปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวและร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยและจำเลยร่วมที่ ๑ ถึงที่ ๖ อุทธรณ์  มีใจความทำนองเดียวกันว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีผลบังคับ  และได้มีข้อตกลงกันภายหลังให้สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นระงับไปแล้ว  ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๗ อุทธรณ์ ขอเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๑) เพื่อต่อสู้คดีโจทก์ ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า  คำร้องสอดของนางทวีทรัพย์  คุณาวุฒิจำเลยร่วมที่ ๗ ร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อยังให้ได้รับคู่ความเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของนางทวีทรัพย์  คุณาวุฒิ ที่มีอยู่ เป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) มีเหตุสมควรต้องพิจารณาคดีระหว่างนางทวีทรัพย์  คุณาวุฬิ  กับโจทก์ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๒)  เนื่องด้วยผลแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะแบ่งแยกจากกันมิได้  จึงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยและจำเลยร่วมที่ ๑ ถึงที่ ๖ เสียด้วย  พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้นางทวีทรัพย์  คุณาวุฒิ  เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑)  ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีใหม่  และพิพากษาไปตามรูปคดี  ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกาว่า  ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ ๗ ร้องสอดเข้ามาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) ไม่ชอบ  และพยานจำเลยไม่น่าเชื่อว่าได้มีข้อตกลงภายหลังให้จำเลยหลุดพ้นไม่ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว  คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ  โดยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์และชดใช้ค่าเสียหาย  นางทวีทรัพย์  คุณาวุฒิ  จำเลยร่วมที่ ๗ ร้องสอดอ้างว่าที่ดินพิพาทตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยโจทก์ไม่ใช่เจ้าของ  และจำเลยไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยพลการ  สัญญาไม่มีผลบังคับจำเลย  ทั้งนี้  เพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่ผู้ร้องได้มีอยู่  ดังนี้ เห็นว่าคำร้องสอดของผู้ร้องชัดแจ้งแสดงถึงเหตุการขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม  เข้าลักษณะเป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) แล้ว  เป็นการตั้งข้อพิพาทโต้แย้งกับโจทก์  ซึ่งในการพิจารณาดังกล่าวมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ด้วยความยินยอมของเจ้าของรวมคนอื่นหรือไม่  ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับที่จำเลยเดิมให้การต่อสู้ไว้  ถ้าหากได้ความว่าเจ้าของรวมไม่ได้ให้ความยินยอมแล้วก็ไม่อาจบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญานั้นได้  หรือบังคับให้ปฏิบัติได้ก็เพียงบางส่วนเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๑  กรณีจึงมีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาคดีใหม่  และการพิจารณาใหม่เห็นสมควรดำเนินการพิจารณาระหว่างนางทวีทรัพย์  คุณาวุฒิ ผู้ร้องสอด กับโจทก์ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยซึ่งเป็นการพิจารณาใหม่บางส่วน  อนึ่ง เนื่องด้วยผลแห่งคดีของจำเลยและผู้ร้องสอดเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความอันไม่อาจแบ่งแยกได้  ซึ่งมีผลไปถึงเจ้าของรวมคนอื่นด้วย จึงต้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลย  และจำเลยร่วมที่ ๑ ถึงที่ ๖ เสียด้วย  ที่โจทก์ฎีกาว่าคำร้องของผู้ร้องสอดกล่าวว่าขอยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วม  และเมื่อศาลสอบถามผู้ร้องสอด  ผู้ร้องสอดก็แถลงยืนยันว่าขอเข้าเป็นคู่ความโดยเป็นจำเลยร่วมอีกย่อมแสดงว่าขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา ๕๗ (๒) นั้น  พิเคราะห์แล้วแม้ว่าคำร้องจะกล่าวว่าขอเข้าเป็นจำเลยร่วม  แต่เนื้อความแห่งคำร้องมีลักษณะเป็นการขอเข้ามาตามมาตรา ๕๗ (๑่)  ทั้งคำร้องก็ได้ระบุมาตราที่ขอไว้ด้วยคือ  มาตรา ๕๗ (๑)  ดังนี้  เห็นว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นการขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) ทั้งนี้เพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่  ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน