คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า
ขณะต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำกลางบางขวาง
จำเลยนำเข้ามาหรือรับไว้หรือเก็บรักษาไว้ในเรือนจำซึ่งโทรศัพท์เคลื่อนที่อันเป็นสิ่งของต้องห้าม
โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 4, 6, 38, 45, 58 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,
92
เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายและนับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 5
ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.10972/2544 ของศาลอาญา ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
แต่ให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1
พิพากษายืน คดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2560 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอธิบายเหตุสงสัยเกี่ยวกับคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 191
เนื่องจากศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
แต่เรือนจำกลางบางขวางกลับมีคำสั่งที่ 42/2556 ให้ลดชั้นนักโทษเด็ดขาดของจำเลยจากชั้นเยี่ยมลงเป็นชั้นเลวมาก
ตัดวันลดวันต้องโทษจำคุกจำนวน 30 วัน โดยอาศัยเหตุที่จำเลยมีโทรศัพท์เคลื่อนที่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่
14 ธันวาคม 2560 ว่า คำพิพากษาของศาลมีความชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว
จึงไม่มีเหตุที่จะต้องอธิบายให้ทราบอีก ให้ยกคำร้อง
ต่อมาวันที่ 20 สิงหาคม 2561
จำเลยยื่นคำร้องขอติดตามทวงถามเหตุสงสัยตามคำพิพากษาและคำสั่งเรือนจำกลางบางขวางที่ขอให้ศาลอธิบาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่
31 สิงหาคม 2561 ว่า จำเลยถูกฟ้องในฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติราชทัณฑ์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ดังนี้ จำเลยจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษในความผิดตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ในคดีนี้
สำเนาแจ้งคำสั่งให้เรือนจำกลางบางขวาง จำเลยและโจทก์ทราบ
จำเลยได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่
22 กันยายน 2561 จากนั้นวันที่ 8 ตุลาคม 2561 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ว่า
ศาลชั้นต้นไม่ได้อธิบายว่าคำพิพากษาของศาลกับคำสั่งของเรือนจำกลางบางขวางที่
42/2556 ขัดกันหรือไม่ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่
9 พฤศจิกายน 2561 ว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งเกินระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้
จึงไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย แจ้งจำเลยทราบ
จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1
พิเคราะห์แล้ว ตามที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 และวันที่ 20
สิงหาคม 2561 ต่อศาลชั้นต้นตามลำดับ ขอให้ศาลอธิบายคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนและคำร้องของจำเลยไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค
1 พิจารณาสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องนั้นเสียเอง
และสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 8 ตุลาคม 2561 จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1
ไม่อาจรับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยในกรณีเช่นนี้ได้
แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค
1 แล้ว จึงเห็นสมควรมีคำสั่งให้เสร็จไปในคราวเดียว เห็นว่า
เนื้อหาตามคำร้องของจำเลยไม่ใช่กรณีเมื่อจำเลยเกิดสงสัยในการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลต้องอธิบายให้ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 191 แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่จำเลยขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1
อธิบายว่าคำสั่งของเรือนจำกลางบางขวางซึ่งได้สั่งลงโทษจำเลย ขัดกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่
ซึ่งไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องดังกล่าว ทั้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1
มีรายละเอียดปรากฏไว้ชัดแจ้งแล้ว ไม่จำต้องอธิบาย แต่หากจำเลยเห็นว่าการที่ถูกลดชั้นและตัดวันลดโทษไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม
ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องดำเนินการทางปกครองต่อไป ยกคำร้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษในความผิดตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์
แต่เรือนจำกลางบางขวางกลับมีคำสั่งให้ลดชั้นนักโทษเด็ดขาดของจำเลย
ตัดวันลดวันต้องโทษ และตัดการอนุญาตให้รับการเยี่ยม โดยอาศัยเหตุที่จำเลยมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ คำสั่งของเรือนจำกลางบางขวางจึงขัดกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ยกฟ้องโจทก์ กรณีจึงมีเหตุสงสัยในการบังคับตามคำพิพากษาของศาล
ขอให้ศาลฎีกาอธิบายให้แจ่มแจ้งเพื่อที่จำเลยจะนำผลคำวินิจฉัยไปยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 191 บัญญัติว่า “เมื่อเกิดความสงสัยในการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง
ถ้าบุคคลใดที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องร้องขอต่อศาลซึ่งพิพากษาและสั่ง ให้ศาลนั้นอธิบายให้แจ่มแจ้ง”
ดังนั้น
เมื่อปรากฏว่า คดีของจำเลยถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ภาค 1
ซึ่งเป็นศาลซึ่งพิพากษาที่ต้องอธิบายให้แจ่มแจ้ง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1
วินิจฉัยหรืออธิบายอย่างไรแล้ว ก็ต้องยุติลงตามนั้น
ส่วนที่จำเลยสงสัยเกี่ยวกับการบังคับโทษตามคำสั่งของเรือนจำกลางบางขวางว่าขัดกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค
1 หรือไม่ นั้น
คำสั่งของเรือนจำกลางบางขวางดังกล่าวมีลักษณะเป็นการลงโทษทางวินัยแก่ผู้ต้องขัง
ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครอง หากจำเลยเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ไม่ตรงหรือขัดกับคำพิพากษา หรือไม่เป็นธรรมอย่างไร
ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องดำเนินการทางปกครองต่อไป ศาลฎีกาไม่มีอำนาจวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย