คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า มารดาของโจทก์มีที่ดินเป็นสินเดิม ๑ แปลงเมื่อมารดาถึงแก่กรรม ที่ดินแปลงนี้ตกได้แก่โจทก์ โจทก์ได้มอบให้บิดาอาศัยครอบครองแทน เมื่อระหว่างวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๐๑ ถึงวันที่ ๒มีนาคม ๒๕๐๔ เวลากลางวัน จำเลยโดยเจตนาทุจริตได้บังอาจแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชุมพรผู้กระทำการตามหน้าที่ จดข้อความลงในเอกสารราชการและเอกสารสิทธิ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานว่า ที่ดินดังกล่าวข้างต้นเป็นของจำเลย ได้มาโดยบิดาของโจทก์ยกให้ซึ่งเป็นความเท็จ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชุมพรหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงได้ทำการรังวัดไต่สวน แล้วออกโฉนด ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของให้แก่จำเลยไป และเมื่อระหว่างวันเวลาดังกล่าวมาแล้ว จำเลยบังอาจใช้แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๖๓อันเป็นเอกสารราชการที่จำเลยแจ้งไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยความเท็จโดยมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตน ได้มาโดยการรับมรดก เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชุมพรหลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงได้มอบโฉนดนั้นให้จำเลยไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗, ๒๖๘, ๓๔๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า ที่ดินรายพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าโจทก์ไม่เคยแจ้งการครอบครอง ถือว่าโจทก์เจตนาสละสิทธิครอบครองและขาดสิทธิในที่พิพาท โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า สำหรับข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗ นั้น ฟ้องของโจทก์บรรยายถึงเอกสารที่จำเลยแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชุมพรจดข้อความอันเป็นเท็จลงไปไว้แต่เพียงกว้าง ๆ ว่าเป็นเอกสารราชการและเอกสารสิทธิเท่านั้น ไม่พอที่จะทำให้จำเลยรู้ได้ว่าเอกสารที่โจทก์กล่าวถึงนั้น คืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่ เพราะเอกสารราชการและเอกสารสิทธิมีอยู่มากมายหลายอย่างด้วยกัน ถือได้ว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) ที่โจทก์ฎีกาว่าการแจ้งเท็จตามฟ้องของโจทก์ถึงจะลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๗ ไม่ได้ ก็ยังเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา ๑๓๗แม้โจทก์จะมิได้อ้างบทมาตรามาในฟ้อง ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่๒๐ มีนาคม ๒๕๐๑ นั้น เป็นอันยุติ เพราะโจทก์ไม่ได้ฎีกาคัดค้านขึ้นมาเมื่อข้อหาของโจทก์ตามมาตรา ๒๖๗ ขาดอายุความ เพราะข้อเท็จจริงที่ว่านี้ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๗ ซึ่งอาศัยข้อเท็จจริงอันเดียวกันก็ต้องขาดอายุความด้วย
สำหรับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ ที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องว่าจำเลยบังอาจใช้แบบแจ้งการครอบครองที่ดินอันเป็นเอกสารราชการที่จำเลยแจ้งไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยความเท็จนั้นก็เป็นเรื่องจำเลยใช้เอกสารที่มีข้อความไม่ตรงกับความจริงเท่านั้นแต่จะเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ หรือเป็นเอกสารที่จำเลยแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงไว้หรือไม่ ในฟ้องของโจทก์ก็ไม่ปรากฏ ฟ้องของโจทก์จึงขาดองค์แห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ ไม่มีมูลที่จะรับไว้พิจารณาเช่นเดียวกัน
ส่วนข้อหาตามมาตรา ๓๔๑ นั้น ปรากฏตามฟ้องของโจทก์ว่าผู้ที่ถูกจำเลยหลอกลวงคือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชุมพร และเจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าวเป็นผู้ออกโฉนดอันเป็นเอกสารสิทธิให้แก่จำเลย โจทก์ไม่ได้ถูกจำเลยหลอกลวง และจำเลยก็ไม่ได้ทรัพย์สินอะไรไปจากโจทก์ ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดต่อโจทก์ฐานฉ้อโกง
พิพากษายืน