โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ 30,090 บาท ตามสัญญากู้และให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ให้จำเลยทั้งสองทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเพื่อประกันความเสียหายจากการที่โจทก์ขายแชร์ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ส่งค่าแชร์ให้โจทก์มาตลอด คงค้างเพียง 7 งวดเป็นเงิน 6,300 บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 6,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 23,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคสองที่ว่า ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้นจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วนั้นย่อมหมายถึงการนำสืบถึงการชำระเงินต้นเท่านั้น ไม่บังคับถึงการนำสืบถึงการชำระดอกเบี้ย ฉะนั้นที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระดอกเบี้ยจึงนำสืบได้ ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ดังจำเลยนำสืบแล้วว่า จำเลยที่ 1ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์เดือนละ 400 บาท ตั้งแต่งวดเดือนที่ 6 ของการเล่นแชร์ 28 งวด คงเหลือมิได้ชำระ 7 งวด เป็นการชำระดอกเบี้ยแล้ว 16 เดือน คิดเป็นเงิน 6,400 บาท โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยค้างดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 6,490 บาท จึงฟังได้ว่าจำเลยคงค้างดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 90 บาทพร้อมทั้งเงินต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเต็มตามฟ้องหาชอบไม่ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน และคดีเกี่ยวด้วยหนี้อันไม่อาจแยกได้จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 1ที่ไม่ได้ฎีกาด้วย"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 90 บาท และร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15ต่อปี ในเงินต้น 23,600 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ อนึ่ง คดีนี้มีทุนทรัพย์ชั้นฎีกาเพียง 23,790 บาท มิใช่ 30,090 บาท ตามที่จำเลยที่ 2 เสียค่าขึ้นศาลมา จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกไว้เกินแก่จำเลยที่ 2