โจทก์ฟ้องว่าที่ดินรายวิวาทเป็นมฤดกของบรรพบุรุษตกทอดได้แก่โจทก์ ๆ ได้ปกครองมา จำเลยบุกรุกเข้าปลูกเรือนและผลไม้จึงขอให้ขับไล่
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่รายพิพาทเป็นที่ป่าจำเลยได้ครอบครองมาประมาณ ๕ ปี โจทก์มิได้ฟ้องร้อง จำเลยภายใน ๑ ปี จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตาม ม. ๑๓๖๗ แห่งประมวลแพ่ง ฯ จึง พิพากษาให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาตัดสินว่า ที่รายนี้เป็นที่ป่าและที่มื่อเปล่า ประกอบกับ โจทก์มิได้ทำประโยชน์ในที่รายนี้ซึ่งแสดงว่า โจทก์ได้ครอบครองมาจนกระทั่ง จำเลยได้เข้ามาปลูกบ้านและต้นไม้ จำเลยเข้ายึดถือโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนจึงได้สิทธิครอบครองตาม ม. ๑๓๖๗ ที่โจทก์เถียงมาในฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยคดีนอกประเด็น เพราะคู่ความเถียงกันในเรื่องกรรมสิทธิ แต่ศาลวินิจฉัยไปในเรื่องครองครองนั้น เห็นว่าตามฟ้องของ โจทก์และคำให้การของ จำเลยหาได้กล่าวว่าใครมีกรรมสิทธิในที่วิวาทนั้นไม่ ที่จริงเป็นการเถียงกันว่าใครเป็นผู้ครอบครองที่วิวาทรายนี้จึงไม่เป็นการนอกประเด็น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์