โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้นำข้อความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จเบิกความที่ศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๒๔๕/๒๕๑๗ ว่า "เฉพาะรายนี้ข้าพเจ้าเคยไปทำแผนที่สังเขปและประเมินราคาไว้ตามระเบียบ โดยได้รับคำสั่งจากนายชื้นเมือง โกมารกุล ณ นคร เมื่อราววันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๑๔ นางรัมภา ธรรมวิรัตน์ จำเลยที่ ๑ และน้องชายไปรับข้าพเจ้าที่ธนาคารจำเลยพร้อมกับตัวโฉนด ไปถึงที่ดินแล้วมีคนอีก ๒ คนอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินในอำเภอตลิ่งชัน ติดถนนสุขาภิบาลสาย ๒ นางรัมภา ธรรมวิรัตน์ เป็นผู้ชี้เขตและหลักเขตให้ดู หลักเขตนั้นตรงกับหลักเขตในโฉนด ๓ หลัก น่าเชื่อว่าหลักเขตถูกต้องเพราะเป็นหลักเก่า ไม่มีลักษณะว่าได้มีการเคลื่อนย้ายก่อน จึงเชื่อว่าที่ดินที่ชี้ใช่แปลงเดียวกับที่ในโฉนด จึงทำแผนที่สังเขปประเมินราคาตามสภาพที่ดินที่นางรัมภา ธรรมวิรัตน์ ชี้เสนอผู้จัดการใหญ่" ข้อความที่จำเลยเบิกความนั้นเป็นเท็จ ความจริงนางรัมภา ธรรมวิรัตน์ มิได้มอบโฉนดที่ดินให้จำเลย และไม่ได้ไปนำชี้ที่ดินร่วมกับจำเลย เอกสารท้ายฟ้องแผนที่สังเขปนั้น จำเลยทำขึ้นโดยลำพัง ความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีดังกล่าว ความจริงที่ดินมิได้ตั้งอยู่ ณ ที่ตั้งตามที่จำเลยทำขึ้นเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ทั้งคดีไม่มีมูลที่จะรับไว้พิจารณา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) ส่วนข้อที่ว่าคดีมีมูลหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยได้นำข้อความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จ เบิกความที่ศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๒๔๕/๒๕๑๗ ระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัดพงศ์ทอง โจทก์ นางรัมภา ธรรมวิรัตน์ ที่ ๑ ธนาคารกรุงไทย จำกัด ที่ ๒ จำเลย ความเท็จที่จำเลยเบิกนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี เห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าในคดีดังกล่าวมีข้อพิพาทกันเรื่องอะไร ประเด็นสำคัญแห่งคดีมีว่าอย่างไร ข้อที่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในคดีนี้ เป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไร ฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน