โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2528 จำเลยกับนางอุมาพรนายทัย นายชู นายสำราญ กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันมีไว้ในครอบครองอาวุธปืนเอ็ม 16 คนละกระบอก ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครอง และได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปตามถนนสายเพชรบุรี หาด เจ้าสำราญซึ่งเป็นทางและหมู่บ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และได้ร่วมกันปล้นเอาทรัพย์สินของนางพริ้มพรายหรือขนมเข่ง เจริญสวัสดิ์ กับพวกไปโดยทุจริต โดยใช้รถจักรยานยนต์และรถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์ไป และได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ขู่ บังคับ หลังจากได้ปล้นทรัพย์แล้วจำเลยกับพวกได้นำตัวนางพริ้มพรายหรือขนมเข่งไปควบคุมตัวไว้ตลอดมาจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2528 เวลาดังกล่าวเวลาใดไม่ปรากฎชัดจำเลยกับพวกได้ร่วมกันฆ่านางพริ้มพรายหรือขนมเข่งสมดังเจตนาของนางอุมาพรผู้ใช้จ้างวานทั้งนี้เพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์แห่งทรัพย์ที่ปล้นมา และหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำได้ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289,340 ตรี, 83, 84, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 55, 72 , 72 ทวิ, 78 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 3, 6, 7 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 มาตรา 6, 8กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514ข้อ 14, 15 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,55, 72, 72 ทวิ, 78 คำสั่งของคณะปฏิวัติรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 7 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน(ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 มาตรา 6, 8 กฎกระทรวง ฉบับที่ 11(พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490ฐานปล้นทรัพย์ จำคุก 24 ปี ฐานมืออาวุธปืนจำคุก 4 ปี ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 28 ปี 6 เดือน คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด19 ปี
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์แห่งทรัพย์ที่ปล้นมาหรือเพื่อปกปิดการกระทำความผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา340 ตรี พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 55,72 ทวิ วรรคสอง, 78 วรรคหนึ่ง ควาามผิดฐานปล้นทรัพย์และฆ่าผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิตฐานมีอาวุธปืนจำคุก 4 ปีฐานพาอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78, 52 (1) ฐานปล้นทรัพย์จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนจำคุก2 ปี 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยตลอดชีวิตนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาสู่การวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340วรรคท้าย หรือไม่ สำหรับข้อหาฐานปล้นทรัพย์ เห็นว่าในขั้นอุทธรณ์โจทก์อุทธรณ์คัดค้านพิพากษาศาลชั้นต้นโดยขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์แห่งทรัพย์ที่ปล้นมาหรือเพื่อปกปิดการกระทำความผิด เท่านั้น ข้อหาปล้นทรัพย์จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยข้อหาปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340วรรคท้าย นั้น เป็นการพิพากษาเกินคำขอที่มิได้กล่าวในฟ้องอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 215 ในข้อหาปล้นทรัพย์คดีจึงคงลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาเท่านั้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในส่วนนี้ของจำเลย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.