คดีนี้เดิมรวมพิจารณากับคดีอื่นอีก ๒ สำนวน ซึ่งยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เฉพาะคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรพระทำนุนิธิผลแต่ต่างมารดา และยังมีบุตรต่างมารดาอีกรวมทั้งสิ้น ๑๖ คน นางจีบมารดาโจทก์เป็นภริยาโดยชอบ และมีสินเดิมมาอยู่กินกับพระทำนุนิธิผล เกิดสินสมรสตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๑ ถึง ๒๒ มารดาโจทก์ตายก่อนนางสำลีมารดาจำเลย และพระทำนุนิธิผลตายเมื่อปี ๒๕๐๖ หลังนางสำลี ทรัพย์อันดับ ๑ ถึง ๔ เป็นที่ดิน พระทำนุนิธิผลโอนใส่ชื่อนางสำลีไว้ ซึ่งเป็นสินสมรส ขอให้บังคับจำเลยแบ่งมรดกแก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า นางจีบเป็นอนุภริยาและไม่มีสินเดิม และได้รับทรัพย์สินจากพระทำนุนิธิผลจำนวนหนึ่งไปตั้งร้านค้าขายเป็นส่วนสัด ไม่มีสิทธิในสินสมรสระหว่างพระทำนุนิธิผล กับมารดาจำเลยที่ดินอันดับ ๑ ถึง ๔ พระทำนุนิธิผลได้มอบโอนกรรมสิทธิ์ให้มารดาจำเลยเพื่อแบ่งให้จำเลยทั้งสี่คน ซึ่งจำเลยได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยเด็ดขาดแล้วตั้งแต่พระทำนุนิธิผลยังมีชีวิตอยู่ จึงมิใช่กองมรดกของพระทำนุนิธิผล ผู้มีสิทธิคัดค้านก็มีแต่พระทำนุนิธิผลเท่านั้น สิทธิคัดค้านไม่ตกทอดเป็นมรดก
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งมรดกตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๕ ถึง ๒๒ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะการแบ่งมรดกตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๔ ถึง ๒๒ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาต่อมาเฉพาะที่ดินตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๑ ถึง ๕ ทรัพย์นอกนั้นเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพระทำนุนิธิผลแต่งงานกับนางสำลีมารดาจำเลยเมื่อปี ๒๔๕๑ และมารดาพระทำนุนิธิผลมอบที่ดินอันดับที่ ๒,๓,๔ ให้เป็นกองทุนในวันแต่งงาน ส่วนที่ดินอันดับ ๑ พระทำนุนิธิผลได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๖ เมื่อปี ๒๔๖๗ ครั้นปี ๒๔๘๘ พระทำนุนิธิผลได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันดับ ๒,๓,๔ ให้นางสำลี และปี ๒๔๙๓ ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันดับ ๑ ให้อีก นางสำลีตายปี ๒๕๐๓ ปี ๒๕๐๔ - ๒๕๐๕ จำเลยทั้งสี่ได้ไปโอนรับมรดกที่ดินทั้ง ๔ แปลงนั้นเป็นของตน โดยพระทำนุนิธิผลมิได้โต้แย้งแต่อย่างใด จนกระทั่งตายเมื่อปี ๒๕๐๖ นางจีบเป็นภริยาพระทำนุนิธิผลโดยการลักพาเมื่อปี ๒๔๕๙ พระทำนุนิธิผลเช่าตึกแถวให้อยู่ต่างหาก และนางจีบได้เปิดร้านค้าขายเครื่องที่นอน ณ ตึกที่อยู่อาศัย ไม่เคยเข้าไปอยู่อาศัยรวมกับนางสำลีในที่ดินอันดับ ๑ เลย
สำหรับที่ดินอันดับ ๑ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อพระทำนุนิธิผลแต่งงานกับนางสำลีมารดาจำเลยแล้ว ได้พากันมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เมื่อปี ๒๔๕๖ ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่พระทำนุนิธิผลจะได้นางจีบมารดาโจทก์เป็นภริยา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๖ ได้ทรงอนุญาตให้พระทำนุนิธิผลกับนางสำลีและบุตรอยู่อาศัยที่ตึกบริเวณสนามน้ำจืดซึ่งนางสำลีได้เปิดทำการค้าขายด้วย ต่อมารัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระราชประสงค์จะเอาที่ดินสนามน้ำจืดสร้างตลาดมิ่งเมือง พระทำนุนิธิผลจึงทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานที่ดินหลังตึกแถวถนนเยาวราชคือที่ดินอันดับ ๑ นี้ เมื่อได้รับพระราชทานแล้วก็ได้ปลูกสร้างอาคารไว้ เป็นที่อยู่อาศัยของพระทำนุนิธิผลกับนางสำลีภริยาและบุตรตลอดมา ต่อมาวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ พระทำนุนิธิผลได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลของพระบรมราชานุญาตโอนที่ดินอันดับ ๑ พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างซึ่งติดจำนองอยู่ให้เป็นสิทธิแก่นางสำลี เมื่อได้รับพระอนุญาตแล้วก็ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้นางสำลีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๙๓ ฝ่ายนางจีบและโจทก์ซึ่งเป็นบุตรไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องหรืออยู่อาศัยในที่ดินแปลงนี้เลย โดยมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งต่างหากที่ตึกแถวถนนเพื่องนครซึ่งเปิดเป็นร้านค้าขายเครื่องที่นอนหารายได้สำหรับใช้จ่ายในครอบครัวของนางจีบส่วนหนึ่งต่างหาก ส่วนนางสำลีมารดาจำเลยก็แยกตั้งร้านค้าขายอยู่ที่ถนนพาหุรัด การทำมาหาได้ของภริยาแต่ละคนก็ตกเป็นส่วนของภริยาในครอบครัวนั้น ๆ หาได้ปะปนกันไม่ แม้ทรัพย์ที่โจทก์อ้างว่านางจีบได้จากบิดามารดาระหว่างที่เป็นภริยาพระทำนุนิธิผล เมื่อนางจีบตายก็ตกเป็นของบุตรนางจีบทั้งสิ้น โดยฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นบุตรนางสำลีหาได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ ดังนี้ นางจีบจึงไม่มีส่วนในที่ดินอันดับ ๑
ส่วนที่ดินอันดับ ๒,๓,๔ ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าเป็นทรัพย์ที่มารดาพระทำนุนิธิผลนำมากองทุนมอบให้พระทำนุนิธิผลเป็นสินเดิมในวันแต่งงานกับนางสำลี ก่อนพระทำนุนิธิผลจะได้นางจีบเป็นภริยา ที่ดินดังกล่าวจึงหาเป็นสินสมรสระหว่างพระทำนุนิธิผลกับนางจีบไม่ แม้ต่อมาพระทำนุนิธิผลจะจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้นางสำลี อันมีผลทำให้สินเดิมกลายเป็นสินสมรส ก็เป็นสินสมรสระหว่างพระทำนุนิธิผลกับนางสำลี มิได้ระคนปนกันกับทรัพย์สินของนางจีบซึ่งแยกเป็นส่วนสัด นางจีบจึงไม่มีส่วนได้ในที่ดิน อันดับ๒,๓,๔ นี่ คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า นางจีบเป็นภริยาในฐานะแม่เจ้าเรือนเสมอนางสำลีหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
โดยเหตุที่นางสำลีตายก่อน คดีจึงมีปัญหาว่า ที่ดินอันดับ ๑,๒,๓,๔ นี้จะเป็นมรดกตกมายังพระทำนุนิธิผลหรือไม่ และครั้นต่อมาพระทำนุนิธิผลผลตาย ที่ดินดังกล่าวนี้จะเป็นมรดกอันโจทก์มีส่วนได้หรือไม่
ที่ดินอันดับ ๑ ซึ่งพระทำนุนิธิผลได้รับพระราชทานมานี้ ปรากฏว่าต่อมาพระทำนุนิธิผลได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจำนองและขึ้นเงินจำนอง แล้วต่อมาจึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตโอนให้แก่นางสำลีทั้งที่ติดจำนองอยู่ ข้อความในหนังสือกราบบังคมทูลขอโอนที่ดินอันดับ ๑ (เอกสาร ล.๒๘) มีว่า "จึงดำริที่จะจัดการมรดกโดยแบ่งสันปันส่วนให้แก่ภริยาบุตรธิดาให้เป็นส่วนสัดเสียขณะนี้ฯลฯ โดยเฉพาะที่ดินซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานให้ดังกล่าวข้างต้น พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบให้เป็นสิทธิแก่นางสำลี เศาภายน ภริยา เพื่อจะได้หาทางไถ่ถอนมาไว้สำหรับเป็นหลักแหล่งประกอบอาชีพต่อไป ฯลฯ"
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า พระทำนุนิธิผลได้รับพระราชทานที่ดินอันดับที่ ๑ ในครั้งนั้นมาเป็นทรัพย์ส่วนตัว และการที่พระทำนุนิธิผลโอนที่ดินอันดับ ๑ ให้นางสำลีนั้น เจตนาของพระทำนุนิธิผลตามเอกสาร ล.๒๘ ประกอบด้วยพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าว เห็นได้ชัดว่า พระทำนุนิธิผลมีเจตนายกที่ดินอันดับ ๑ ให้นางสำลีเป็นสินส่วนตัว จึงได้กล่าวในหนังสือกราบบังคมทูลว่า ขอมอบเป็นสิทธิแก่นางสำลีเพื่อจะได้หาทางไถ่ถอนมาไว้สำหรับเป็นหลักแหล่งประกอบอาชีพต่อไป นอกจากนี้พระทำนุนิธิผลยังได้ทำหนังสือลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๔๙๓ (เอกสาร ล.๒๗) ก่อนขอและได้รับพระบรมราชานุญาตให้โอนที่ดินอันดับ ๑ ให้นางสำลีเพียงเล็กน้อยว่า ขอมอบทรัพย์สินอันมีอยู่ทั้งสิ้นให้นางสำลีโดยเด็ดขาด นางสำลีจะจัดแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้ใดมากน้อยเท่าใด ก็แล้วแต่นางสำลีจะเห็นเป็นการสมควร ซึ่งข้อความตามเอกสาร ล.๒๗ ล.๒๘ แสดงว่า พระทำนุนิธิผลมีเจตนาให้ที่ดินอันดับ ๑ เป็นสินส่วนตัวของนางสำลี ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยต่อไปว่า หนังสือยกให้ แม้มิได้ระบุไว้ชัดว่าให้เป็นสินส่วนตัว ก็อาจแปลเจตนาจากข้อความในเอกสารตามพฤติการณ์แห่งกรณีได้
และเมื่อหนังสือยกให้แปลข้อความตามเจตนาของผู้ให้ได้ว่า ให้เป็นสินส่วนตัว แม้เมื่อไปทำพิธีโอนทางทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้เป็น"สินส่วนตัว" ทรัพย์สินนั้นก็เป็นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๔ (๓)
ข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า หลังจากนางสำลีตายเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ พระทำนุนิธิผลและจำเลยซึ่งเป็นบุตรนางสำลีคงอยู่อาศัยในที่ดินอันดับ ๑ พระทำนุนิธิผลก็ทราบดีว่า จำเลยได้ไปขอรับโอนมรดกที่ดินอันดับ ๑,๒,๓,๔ เมื่อปี ๒๕๐๔ - ๒๕๐๕ โดยพระทำนุนิธิผลมิได้คัดค้านโต้แย้งประการใด โดยพระทำนุนิธิผลมีเจตนามาแต่แรกตั้งแต่ทำหนังสือลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๔๙๓ คำสั่งแทนพินัยกรรมตามเอกสาร ล.๒๗ ว่า ขอมอบบรรดาทรัพย์สินต่าง ๆ อันกอร์ปด้วยอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้นให้นางสำลีภริยาอันถูกต้องตามกฎหมายโดยเด็ดขาด นางสำลีจะจัดแบ่งให้แก่ผู้ใดมากน้อยเท่าใดก็แล้วแต่นางสำลีจะเห็นสมควร เอกสาร ล.๒๗ นี้ ไม่ใช่พินัยกรรม เพราะมีข้อความเป็นหนังสือยกให้ว่าขอมอบทรัพย์สินอันคงมีอยู่ทั้งสิ้นให้นางสำลีทันที และพระทำนุนิธิผลได้ทำหนังสือลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ (เอกสาร ล.๑) และหนังสือลงวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๓ (เอกสาร ล.๓) เมื่อภายหลังนางสำลีตายเล็กน้อย ว่า ยินดีสละสิทธิในการรับมรดกที่ดินอันดับ ๒,๓,๔ ซึ่งมีชื่อนางสำลีเป็นเจ้าของ และยินยอมให้โอนใส่ชื่อจำเลยทั้งสี่คนซึ่งเป็นบุตร ต่อมาเดือน กรกฎาคม ๒๕๐๖ พระทำนุนิธิผลถึงแก่ความตาย ดังนี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่พระทำนุนิธิผลรู้อยู่ว่าจำเลยซึ่งเป็นบุตรไปขอจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินอันดับ ๑,๒,๓,๔ ของนางสำลีมารดาจำเลย แต่มิได้โต้แย้งประการใด โดยพระทำนุนิธิผลได้มีเจตนาสละกรรมสิทธิ์ให้จำเลยและยินยอมให้โอนใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปแล้วนั้น แม้พระทำนุนิธิผลยังมีชีวิตอยู่ ก็จะกลับมาเรียกส่วนแบ่งในที่ดินอีกหาได้ไม่ ดังนั้น ที่ดินอันดับ ๑,๒,๓,๔ ดังกล่าวแล้วจึงมิใช่ทรัพย์มรดกของพระทำนุนิธิผลอันโจทก์จะเรียกร้องขอส่วนแบ่งได้
พิพากษายืน