ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 218, 83 จำคุกคนละ 15 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 7 ปี โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "มีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำเบิกความของนายประพิตร อินทูฤทธิ์ หัวหน้าแผนกบริการผู้ใช้ไฟการไฟฟ้าจังหวัดพิษณุโลก ประกอบกับหนังสือของผู้จัดการไฟฟ้าจังหวัดพิษณุโลก เอกสารหมาย ป.จ.1 ว่า เหตุที่เกิดเพลิงไหม้มิได้เกิดจากไฟฟ้าช๊อตหรือกระแสไฟฟ้าลัดวงจร โดยพยานได้ตรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าและฟิวส์ไฟฟ้าทุกแห่งในที่เกิดเหตุแล้วไม่พบรอยอาท(รอยดำ) ที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจรแต่อย่างใด จึงมีปัญหาว่า เหตุที่เกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้เนื่องมาจากการวางเพลิงหรือไม่ เห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ คือแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.5 และภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุหมาย จ.2 ทั้ง 24 ภาพ ประกอบกับร้อยตำรวจโทสุวิญช์อินทรมูล เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการวิทยาการ กองบังคับการตำรวจภูธร 8นายประพิตร อินทูฤทธิ์ และร้อยตำรวจโทเชิดศักดิ์ พูลเผ่าดำรงค์ เบิกความสอดคล้องต้องกันฟังได้ว่าสถานที่เกิดเหตุชั้นล่างส่วนใหญ่เพลิงลุกไหม้อยู่บริเวณด้านหลังร้าน ส่วนชั้นที่สองเพลิงลุกไหม้อยู่บริเวณที่วางกระเป๋าซึ่งอยู่บนชั้นลอย(ตามภาพถ่ายภาพที่ 12 และภาพที่ 14) ส่วนสิ่งของที่อยู่ใต้ชั้นลอยไม่มีการไหม้เพลิงไหม้ที่ชั้นสองไม่ได้ลุกลามมาจากชั้นล่าง เพราะตามบันไดไม่มีของหรือเชื้อเพลิง ทั้งพื้นบันไดก็เป็นปูนซีเมนต์ ไม่ใช่วัตถุติดไฟ และการลุกไหม้ของไฟที่ชั้นสองมีหลายแห่งอยู่ห่างกันและไม่ได้ลุกลามไปหากันด้วย ส่วนชั้นที่สามมีกระเป๋ารวมอยู่กับกล่องสินค้า แต่เพลิงไหม้เฉพาะกระเป๋าใบเดียว กล่องสินค้าซึ่งอยู่ข้าง ๆ ไม่มีรอยไหม้แต่อย่างใด (ตามภาพถ่ายภาพที่ 16) จากลักษณะของการลุกไหม้ดังกล่าวแสดงว่าเพลิงไหม้มิได้ลุกลามมาจากชั้นล่าง แต่เป็นการจุดเพลิงเผาทรัพย์ที่อยู่ชั้นสองและชั้นสามเป็นจุด ๆ ขึ้นพร้อม ๆ กันหรือในเวลาไล่เลี่ยกัน จึงฟังเป็นยุติได้ว่าเหตุที่เกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้เนื่องมาจากการวางเพลิงจริง
ปัญหาต่อไปจึงมีว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้วางเพลิงหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะที่เกิดเพลิงไหม้ร้านของจำเลยทั้งสองปิดไว้มิดชิดบุคคลภายนอกไม่อาจเล็ดลอดเข้าไปได้ ภายในร้านคงมีแต่จำเลยทั้งสองอยู่ด้วยกันเพียง 2 คนจ่าสิบตำรวจสุรินทร์ สังเกตุ เบิกความยืนยันว่า ขณะที่ปีนบันไดรถดับเพลิงขึ้นไปบนดาดฟ้า พบจำเลยทั้งสองหมอบอยู่ตรงกระถางต้นไม้ พยานขอให้จำเลยทั้งสองลงไปข้างล่าง จำเลยทั้งสองไม่ยอมลงเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องช่วยกันฉุดลากพาเอาตัวลงมา และยังปรากฏว่าที่ชั้นสามซึ่งเป็นห้องนอนและบางส่วนเป็นที่เก็บสินค้า เจ้าหน้าที่พบว่ามีถังแกลลอนพลาสติกที่ใช้บรรจุน้ำมันเบนซินอยู่ที่หน้าห้องน้ำ 1 ถัง (ตามภาพถ่ายที่ 24) ภายในถังไม่มีน้ำมัน คงมีแต่กลิ่นน้ำมันเบ็นซินปรากฏอยู่พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยทั้งสองจึงเป็นพิรุธ ยิ่งกว่านั้นก่อนเกิดเหตุเพียง 1 เดือนเศษ บริษัทประกันภัยทั้งสี่บริษัทที่รับประกันภัยอัคคีภัยทรัยพ์สินจากจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือขอลดทุนประกันลงครึ่งหนึ่ง เพราะจำเลยที่ 1 เอาประกันเกินกว่าราคาสินค้าที่มีอยู่ในร้าน ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ.3 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยินยอม ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ. 12 ซึ่งเป็นหนังสือที่จำเลยที่ 1 แจ้งให้บริษัทจรัญประกันภัยทราบเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2524 หลังจากนั้นเพียง 8 วันก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ซึ่งขณะเกิดเหตุสัญญาประกันภัยที่จำเลยที่ 1 เอาประกันภัยไว้เหลืออายุประกันอยู่เพียง 1 เดือนเศษเท่านั้นนอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือนได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่บริเวณหลังร้านของจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ยามท้องถิ่นและชาวบ้านช่วยกันดับไว้ได้ พฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าเป็นการเจตนาวางเพลิงทางจังหวัดและเทศบาลจึงได้จัดให้นำเอารถดับเพลิงมาจอดไว้ใกล้ ๆ กับร้านของจำเลยทุกคืน ดังนี้แม้จะไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าเห็นจำเลยทั้งสองเป็นผู้วางเพลิงเผาทรัพย์ในร้านเกิดเหตุก็ดี แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีประกอบด้วยพยานแวดล้อมกรณีและจำเลยมีพิรุธหลายประการดังกล่าวแล้วคดีมีเหตุผลและน้ำหนักเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์เพื่อที่จะได้รับเงินค่าประกันอัคคีภัยจากบริษัทประกันภัยตามฟ้องจริง
ที่จำเลยฎีกาตำหนิพยานโจทก์ว่าเบิกความขัดกัน โดยเฉพาะร้อยตำรวจโทเชิดศักดิ์เบิกความว่า ระหว่างเกิดเพลิงไหม้ได้ยินเสียงระเบิดดังในร้าน 2 ครั้งแต่จ่าสิบตำรวจสุรินทร์เบิกความว่า ไม่ได้ยินเสียงระเบิดแต่อย่างใด จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้คำเบิกความดังกล่าวจะแตกต่างกันก็เป็นเพียงพลความ หาใช่สาระสำคัญแต่อย่างใดไม่ และพยานที่จำเลยนำสืบก็ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่า ที่เกิดเหตุตั้งอยู่ในย่านชุมนุมชน มีอาคารร้านค้าแออัดและติดต่อกันเป็นระยะทางยาวประมาณ 800 เมตร หากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถสกัดกั้นเพลิงไว้ได้ทันท่วงทีย่อมจะเกิดเพลิงไหม้ลุกลามใหญ่โตก่อให้เกิดความวิบัติเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลอื่นอย่างใหญ่หลวง จำเลยมีเจตนาชั่วร้ายมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตัวโดยมิได้คำนึงถึงความทุกข์ร้อนเสียหายที่อาจจะเกิดแก่ผู้อื่น การกระทำของจำเลยเป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจของประเทศเป็นภัยต่อสังคมอย่างยิ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 มีอัตราโทษขั้นสูงถึงประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกจำเลยเพียงคนละ 7 ปี เห็นว่ายังไม่เหมาะสมกับความร้ายแรงแห่งความผิดที่จำเลยทั้งสองกระทำไปแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น