โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันคือ จำเลยมีกัญชาแห้ง จำนวน 11 ถุง หนัก 15.90 กรัม อันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ไว้ในครอบครองของจำเลยเพื่อจำหน่ายโดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และจำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวน 3 ถุง ไม่ทราบน้ำหนักแน่ชัดอันเป็นส่วนหนึ่งของกัญชา ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายดังกล่าวให้แก่ผู้มีชื่อเป็นเงิน 30 บาท โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตและโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ริบกัญชาของกลางและให้คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคแรก, 76 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 2 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ริบกัญชาของกลางและให้คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ ข้อหาอื่นให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าจำเลยมีกัญชาน้ำหนักเพียง 15.90 กรัม แต่ตามมาตรา 26 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522กำหนดว่าต้องมีกัญชาไว้ในครอบครองมีปริมาณถึง 10 กิโลกรัม ขึ้นไปจึงจะให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 26 วรรคสอง และ 76 วรรคสอง นั้น เป็นฎีกาโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยมีกัญชาจำนวน 15.90 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าการกระทำ ของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 76 วรรคสอง ดังกล่าว หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลล่าง และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงไม่อาจฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ ไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคแรกได้ เพราะเป็นบทบัญญัติห้ามจำหน่ายและมี ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไว้ในครอบครองเท่านั้น เห็นว่าในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย สถานเดียวอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 76 วรรคสอง เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิด ตามบทมาตราดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐาน มีกัญชาไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 26 วรรคแรก และ 76 วรรคแรกอีก ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษเสียให้ถูกต้อง" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 76 วรรคสอง ให้จำคุก 2 ปี และปรับ 21,000 บาท คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 14,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 1